Market Watch จับตาดูโลก ประจำวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565

Table of Contents
Market Watch

Market Watch จับตาโลกวันนี้ : เมื่อวันอังคาร (29 พ.ย.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวก โดยมีการซื้อขายอย่างผันผวน สวนทางกับตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเคมีภัณฑ์ แต่ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่า จีนอาจผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 หลังเกิดการประท้วง

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกนวันอังคาร (29 พ.ย.) โดยมีการซื้อขายอย่างผันผวน แต่ตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นแอปเปิ้ล และหุ้นแอมะซอน

Dow Jones +0.01%

S&P500 -0.16%

Nasdaq -0.59%

หุ้นแอปเปิ้ล ร่วงลง 2.1% เนื่องจากโรงงานฟ็อกซ์คอนน์ในเมืองเจิ้งโจวของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิต iPhone ให้กับบริษัทแอปเปิ้ลยังคงประสบปัญหาด้านการผลิต จากมาตรการล็อคดาวน์ของจีน

หุ้นแอมะซอน ร่วงลง 1.63% ขณะที่หุ้นตัวอื่น ๆ ในกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นอินวิเดีย ดิ่งลง 1.19%, หุ้นอัลฟาเบท ปรับตัวลง 0.9% และหุ้นเทสลา ร่วงลง 1.14%

อย่างไรก็ตาม ตลาดได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นกลุ่มอื่นอย่าง หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน WTI โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่ารัฐบาลจีนอาจจะผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19

หุ้นบริษัทจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น ขานรับรายงานที่ว่า คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของจีนประกาศยกเลิกคำสั่งห้ามบริษัทอสังหาริมทรัพย์เสนอขายหุ้น เพื่อระดมเงินทุน

วันนี้สหรัฐฯ จะมีการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือน พ.ย. จาก ADP, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 3/2565 (ประมาณการครั้งที่ 2) และตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือน ต.ค.

ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบในวันอังคาร (29 พ.ย.) จากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเคมีภัณฑ์ แต่ตลาดยังได้รับปัจจัยบวกจากหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ เนื่องจากนักลงทุนมีความหวังว่า จีนอาจผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 หลังเกิดการประท้วง

CAC-40 + 0.06%

Stoxx Europe 600 -0.13%

DAX -0.19%

FTSE 100 +0.51%

นักลงทุนซื้อขายอย่างระมัดระวังก่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญในสัปดาห์นี้ เช่น ข้อมูลจ้างงานของสหรัฐฯ ในวันศุกร์ และข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนในวันพุธ โดยคาดว่า เงินเฟ้อยูโรโซนในเดือน พ.ย. จะอยู่ที่ 10.4% ในเดือน พ.ย. ลดลงจากระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 10.6%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและเคมีภัณฑ์ ลดลง 1.2% และ 1.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันปรับตัวขึ้น 2.7% และ 1.8% ตามลำดับ

Social Share
Facebook
Twitter