
ราคาน้ำมันดิบ ปิดร่วงลงในวันจันทร์ (1 ส.ค.) หลังจากหลายประเทศรวมถึงจีนและสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลภาคการผลิตที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกว่า การชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันพุธนี้
นักลงทุนวิตกกังวลว่า การชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะในภาคการผลิตจะส่งผลให้ความต้องการใช้น้ำมันอ่อนแรงลงด้วย โดยสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐฯ (ISM) เปิดเผยว่า ดัชนีภาคการผลิตของสหรัฐฯ ร่วงลงสู่ระดับ 52.8 ในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หรือนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563
ทางด้านสำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตร่วงลงสู่ระดับ 49 ในเดือนก.ค. จากระดับ 50.2 ในเดือนมิ.ย. ขณะที่เอสแอนด์พี โกลบอล เปิดเผยว่า ดัชนี PMI ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของยูโรโซนลดลงสู่ระดับ 49.8 ในเดือนก.ค. จากระดับ 52.1 ในเดือนมิ.ย. ทั้งนี้ ดัชนี PMI ของจีนและยูโรโซนอยู่ต่ำกว่าระดับ 50 ซึ่งบ่งชี้ว่าภาคการผลิตอยู่ในภาวะหดตัว
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันดิบ ถูกกดดันจากการที่ลิเบียเพิ่มกำลังการผลิตสู่ระดับ 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวัน จากเดิม 800,000 บาร์เรลต่อวัน และเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันในสหรัฐฯ ที่มีการใช้งาน มีจำนวนเพิ่มขึ้น 11 แท่นในเดือนก.ค. ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นเป็นเดือนที่ 23 ติดต่อกัน
นักลงทุนจับตาการประชุมของกลุ่มโอเปกพลัสในวันพุธนี้ โดยที่ประชุมจะพิจารณานโยบายการผลิตสำหรับเดือนก.ย. หลังจากมีมติเพิ่มกำลังการผลิต 648,000 บาร์เรลต่อวัน ในเดือนส.ค.