ราคาน้ำมันดิบปิดบวกติดต่อกันเป็นวันที่ 3 ในวันพฤหัสบดี (24 ก.พ.) หลังมีรายงานว่ารัสเซียใช้ปฏิบัติการทางทหารบุกโจมตียูเครน โดยข่าวดังกล่าวส่งผลให้ราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้นเหนือระดับ 100 ดอลลาร์ในระหว่างวัน
สัญญาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นหลังมีรายงานว่า รัสเซียได้บุกโจมตียูเครนทั้งทางบก ทะเล และอากาศ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์รุกรานประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในยุโรปนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ขณะนี้ทหารรัสเซียสามารถเข้ายึดโรงงานนิวเคลียร์ในเมืองเชอร์โนบิลของยูเครนได้แล้ว
สถานการณ์ในยูเครนตอนนี้ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซน่าจะพุ่งขึ้นไปราว 5-10% เนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและก๊าซอันดับสามรองจากสหรัฐฯ และซาอุดีอาราเบีย การคว่ำบาตรรัสเซียของชาติตะวันตกน่าจะทำให้รัสเซียส่งออกน้ำมันและก๊าซลดลง ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบทรงตัวในระดับสูงเป็นเวลานาน ปัญหาเงินเฟ้อจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ซึ่งในที่สุดอาจกลายเป็นปัญหาเงินฝืดได้ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ต้องชั่งน้ำหนักที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยใหม่ ซึ่งอาจจะไม่มากอย่างที่คาดการณ์ไว้
อย่างไรก็ตามการพุ่งขึ้นของสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบถูกกดดันในระหว่างวัน โดยสำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.5 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 300,000 บาร์เรล โดยข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) รายงานก่อนหน้านี้ว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 6 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว
