‘ หุ้นเทคโนโลยี ‘ นักลงทุนยังคาดหวังได้อยู่หรือไม่?
สืบเนื่องมาจากหลายเดือนที่ผ่านมา หุ้นเทคโนโลยี มีมูลค่าลดลงอย่างหนัก จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณชัดเจนว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง ทำให้นักวิเคราะห์บางกลุ่มออกมาแสดงความคิดเห็นว่า ควรย้ายการลงทุนออกจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นกลุ่มที่มีการเติบโตสูง เนื่องจากหุ้นเหล่านี้ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการกู้ยืมที่สูงขึ้นตามการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED และการระดมทุนอาจทำได้ยากขึ้น อาจส่งผลให้นักลงทุนไม่แน่ใจมากขึ้นว่าควรที่จะลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีหรือไม่
ในปี 2022 เป็นปีที่ดัชนี S&P500 ร่วงหนักที่สุดในรอบ 83 ปี โดยนับตั้งแต่ต้นปี ดัชนีร่วงลงกว่า 20% ในส่วนของดัชนี Nasdaq ร่วงลงไปแล้วกว่า 30% โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีที่เคยสร้างผลตอบแทนที่ดีในปีที่แล้วก็มีสภานการณ์แย่กว่าภาพรวมในตลาด ไม่ว่าจะเป็นหุ้นเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของโลก หรือหุ้นในกลุ่ม FAANG เช่น Meta Apple และ Amazon เฉลี่ยร่วงลงไปแล้วประมาณ 37% รวมถึงหุ้นที่เติบโตแรงในช่วงเกิดการระบาด Covid-19 อย่าง Zoom และ Peloton และบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ ถูกคาดการณ์ว่า จะสามารถทำกำไรต่ำกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้วประมาณ 16.2%
อะไรเป็นสาเหตุที่ทำให้ หุ้นเทคโนโลยี ร่วงอย่างหนัก?
การร่วงลงยกแผงของหุ้นเทคโนโลยีเกิดจากหลายปัจจัยลบในด้านเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นสงครามรัสเซีย-ยูเครน, มาตรการ Zero Covid ของจีนที่มีการล็อกดาวน์เมืองสำคัญต่าง ๆ, ปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานที่ยังแก้ไขไม่ได้ และสุดท้าย ปัญหาสำคัญที่ทั่วโลกกำลังให้ความสนใจอยู่ขณะนี้ นั่นคือ เงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มทยอยปรับขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งนักลงทุนกังวลว่า อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวจนอาจเข้าสู่ภาวะถดถอย ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่หันไปพึ่งพาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล หรือกองทุน
โอกาสในการลงทุน หุ้นเทคโนโลยี แม้ปัจจัยลบยังคงอยู่
แม้หุ้นเทคโนโลยีจะร่วงแรงจากปัจจัยลบที่รุมเร้า และยังไม่มีทีท่าจะหายไปง่าย ๆ โดยเฉพาะปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก เช่น โรคระบาด หรือ Covid-19 แต่ในด้านการปรับขึ้นดอกเบี้ยของ FED แม้จะยังคงมีโอกาสที่ FED จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนถึงในช่วงสิ้นปี 2022 แต่เมื่อมองไปยังปี 2023 ตลาดจะเริ่มมองโอกาสที่ FED จะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงในช่วงกลางปีเป็นต้นไป นักลงทุนแถวหน้าจึงมีมุมมองเป็นบวกต่อหุ้นเทคโนโลยีในตอนนี้ เนื่องจากอุตสาหกรรมเทคโนโลยีมีโมเดลธุรกิจที่เป็นดิจิทัลสอดคล้องกับธีมการลงทุนในปัจจุบัน อีกทั้ง เทคโนโลยีได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเรามากขึ้น และยังคงมีแนวโน้มที่จะเติบโตในอัตราที่สูงมากอีกในอนาคต จึงเป็นเรื่องที่ดี หากจะลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
ที่สำคัญบริษัทเทคโนโลยีจำนวนมากยังคงแข็งแกร่ง และมีผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่จะผลิตขึ้นในอนาคตมากมาย ดังนั้น การที่ราคาหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลดลงในช่วงปีนี้ จึงเป็นโอกาสสำคัญในการช้อนซื้อ โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีในเอเชียที่มีราคาถูกกว่าสหรัฐฯ โดยบริษัทมีอัตราการเติบโตที่โดดเด่น และมีความสามารถในการแข่งขันสูง ซึ่งหากปัจจัยจากเรื่องเงินเฟ้อและการขึ้นดอกเบี้ยเริ่มผ่อนคลายลง ก็มีโอกาสที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะฟื้นตัว
หุ้นเทคโนโลยี กลุ่มที่น่าลงทุน
เทคโนโลยี เป็นที่สิ่งที่มีบทบาทมากในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นจึงอาจเข้ามากดดันแค่เพียงระยะสั้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ส่งผลกระทบต่อพอร์ตการลงทุนค่อนข้างมาก เราจึงต้องเลือกลงทุนในกลุ่มที่เข้ากับสถานการณ์ในปัจจุบันมากที่สุด ซึ่งโบ้ขอแนะนำ ดังนี้
- หุ้นเกี่ยวกับ Technology ขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ หุ้นที่จัดอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีจะเป็นหุ้นที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับ Hardware, Software, Semiconductors หรือ IT service ยกตัวอย่างเช่น Apple และ Microsoft เป็นต้น
- หุ้นเกี่ยวกับ Communication Services เช่น หุ้น Meta (Facebook) หรือ Alphabet (Google) จะพึ่งพารายได้จากการโฆษณาเป็นหลัก
- หุ้นเกี่ยวกับ Consumer Discretionary เช่น หุ้น Amazon กับ Tesla จะมีรายได้หลัก ๆ มาจากธุรกิจเฉพาะของตัวเอง คือ ธุรกิจ E-Commerce และรถยนต์ไฟฟ้า
อย่าไรก็ตาม ปัจจัยลบที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นปัจจัยระยะสั้น และหุ้นเทคโนโลยียังคงเป็นหุ้นกลุ่มที่นักลงทุนให้ความสนใจมากที่สุด จากอัตราการเติบโตและโมเดลธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของมนุษย์ ดังนั้น จึงต้องเลือกลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มที่เหมาะกับเศรษฐกิจในปัจจุบันนะครับ
Source: ทีมงาน Traderbobo
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่: สาระน่ารู้
อ่านรีวิวโบรกเกอร์เพิ่มเติมได้ที่: Review Broker