หุ้นเติบโต VS หุ้นคุณค่า เลือกลงทุนแบบไหนที่เหมาะกับคุณ?

Table of Contents
หุ้นเติบโต Vs หุ้นคุณค่า ลงทุนอะไรดี

การลงทุนใน “หุ้นเติบโต” และ “หุ้นคุณค่า” ถือเป็นเรื่องที่นักลงทุนในตลาดหุ้นถกเถียงกันมาอย่างยาวนานกับประเด็นที่ว่า เลือกลงทุนอะไรให้ผลตอบแทนดีและยั่งยืนกว่ากัน และไม่ว่าคุณจะเลือกฝั่งไหน พี่โบ้ก็ขอให้ลองอ่านบทความนี้ก่อน บางทีหากอ่านบทความนี้จบแล้ว คุณอาจได้คำตอบที่ชัดเจนขึ้นก็ได้ครับ

*หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ทุกการลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนควรศึกษาการลงทุนให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน อีกทั้งผลประกอบการในอดีตไม่สามารถการันตีถึงผลตอบแทนในอนาคตได้

แนวโน้มตลาดหุ้นไทย

พี่โบ้จะขอแบ่งแนวโน้มการลงทุนหุ้นภายในประเทศ โดยสรุปเป็น 3 ประการ ดังนี้

แนวโน้มการลงทุนหุ้นภายในประเทศ

🔸ประการแรก ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ดัชนีหลัก ๆ เช่น SET และ SET50 มีการปรับตัวลดลงอย่างมากจนสังเกตได้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่เปราะบางมาก

🔸ประการที่สอง นักลงทุนต่างชาติบางส่วนเริ่มขายหุ้นไทยอย่างต่อเนื่อง และหันไปเวทน้ำหนักในตลาดตราสารหนี้ไทยอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเป็นผลมาจากความไม่เชื่อมั่นในค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ท่ามกลางสถานการณ์สงครามการค้า

🔸ประการที่สาม ด้านเสถียรภาพทางการเมืองเป็นปัจจัยสุดสำคัญที่ยังคงส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน ประกอบกับภาพรวมภาคการท่องเที่ยวที่ยังคงชะลอตัว ทั้งนักท่องเที่ยวในไทยและต่างชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบโดยตรงต่อกำไรของบริษัทจดทะเบียน และความเชื่อมั่นของนักลงทุน

สรุปได้ว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ยังคงอยู่ในช่วง “เผชิญความท้าทาย” จากปัจจัยภายในและภายนอก สังเกตจากการไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติไปยังตลาดตราสารหนี้ ซึ่งเป็นสัญญาณการกระจายความเสี่ยงที่บ่งบอกถึงความกังวลและการปรับตัวของนักลงทุน

ที่มา: ศูนย์วิจัยกสิกร และ efinancethai

หุ้น (Stock) คือ ส่วนที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของหรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ สิทธิในการเป็นเจ้าของของกิจการนั้น ๆ โดยผู้ถือหุ้นจะได้รับผลตอบแทนจากการถือหุ้นเป็นเงินปันผล หรือส่วนต่างของราคาในกรณีที่มีการขายหุ้น

ดังนั้น การเลือกลงทุนในหุ้นสักตัว ควรพิจารณาเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพให้การลงทุนในระยะยาวครับ

การเลือกหุ้นพื้นฐานดี คือ การเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มั่นคง มีการเติบโตอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงมีผลประกอบการที่ดี หรือหากบริษัทเกิดการขาดทุนก็ไม่ควรขาดทุนเป็นระยะเวลานาน ๆ และต้องมีแนวโน้มกลับมามีกำไรและเติบโตขึ้นได้ในระยะยาวครับ

หุ้นพื้นฐานดีดูยังไง?

การดูหุ้นพื้นฐานดีคุณสามารถวิเคราะห์ได้จากปัจจัยพื้นฐาน เช่น งบการเงิน ภาพรวมการเติบโตของเศรษฐกิจ และความสามารถในการทำกำไรของบริษัท

เมื่อพูดถึงหุ้นพื้นฐานดี พี่โบ้ก็อยากจะกล่าวถึงแนวคิดการลงทุนหลัก ๆ สองรูปแบบ ได้แก่ การลงทุนในหุ้นเติบโต (Growth Stock) และ หุ้นคุณค่า (Value Stock) ซึ่งทั้งสองประเภทนี้ ต่างก็ใช้หลักเกณฑ์ที่คล้ายกันกับการเลือกหุ้นพื้นฐานดี เพื่อคัดเลือกหุ้นเข้าพอร์ตการลงทุนด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้น เรามาลองทำความรู้จักรูปแบบการลงทุนเหล่านี้กันครับ

หุ้นเติบโต (Growth Stock) คือ

หุ้นเติบโต (Growth Stock) คือ หุ้นที่มีอัตราเฉลี่ยของการเติบโตมากกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นรายได้ หรือแม้แต่กำไร แน่นอนว่า หุ้นประเภทนี้ มักสร้างผลตอบแทนให้นักลงทุนได้ดี แต่บางครั้งก็ไม่เป็นที่นิยมในการถือครองระยะยาว

ด้วยจุดเด่นที่กล่าวมา ทำให้หุ้นเติบโตมักมีค่า P/E Ratio และ P/BV Ratio สูงกว่าค่าเฉลี่ยในตลาด เพราะนักลงทุนจะคาดหวังการเติบโตในอนาคต และมักเป็นหุ้นของบริษัทที่มีการขยายตัวของยอดขายและกำไรอย่างรวดเร็วกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด เช่น หุ้นของบริษัทที่เป็นกระแสในตอนนั้น

หุ้นเติบโตดูยังไง?

หุ้นเติบโตโดยทั่วไปแล้ว มักเป็นหุ้นที่นักลงทุนเน้นซื้อขายเพื่อหวังผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้น (Capital Gain) มากกว่าการถือระยะยาวเพื่อรับเงินปันผลเหมือนหุ้นคุณค่า ทำให้การมองหาหุ้นเติบโต เพื่อลงทุนและอยู่ให้นานนั้น นักลงทุนควรมองว่า ภาพรวมของธุรกิจนี้จะเป็นอย่างไร โตขึ้นไหม? หรือพอผ่านไปสักพักความนิยมของธุรกิจนี้จะหายไปแล้ว ซึ่งวิธีการประเมินคร่าว ๆ มีดังนี้

  1. คุณภาพของธุรกิจและความสามารถในการแข่งขัน
  2. แนวโน้มการเติบโตทั้งในส่วนของรายได้และตัวธุรกิจ
  3. งบการเงินที่แข็งแกร่ง
  4. ราคาหุ้นที่เหมาะสม

*หมายเหตุ: การซื้อหุ้นที่แพงเกินไป แม้จะเป็นหุ้นเติบโต ก็อาจจะไม่ได้ส่งผลดีต่อการถือเพื่อทำกำไรเสียทีเดียวครับ ดังนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องประเมินมูลค่าหุ้นเบื้องต้นก่อน โดยการหาอัตราส่วน PEG ของหุ้น

อัตราส่วนประเมินมูลค่าของหุ้นเติบโต

  • P/E Ratio → อัตราส่วนราคาต่อกำไร → สูงกว่าหุ้นทั่วไปในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • P/BV Ratio → อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี → สูงกว่าหุ้นทั่วไป
  • PEG Ratio → อัตราส่วนที่นำมาใช้วัดมูลค่าของหุ้น → ควรต่ำกว่า 1

วิธีหาอัตราส่วน PEG Ratio คืออะไร?

PEG Ratio ย่อมาจาก Price Per Earning to Growth Ratio อัตราส่วนที่นำมาใช้วัดมูลค่าของหุ้น โดยค่า PEG Ratio สามารถคำนวณได้จากสูตรต่อไปนี้

ค่า PEG Ratio บอกอะไรเราบ้าง?

เมื่อคำนวณ PEG Ratio ของหุ้นได้แล้ว นักลงทุนสามารถตีความค่า PEG Ratio ได้ดังนี้

ความหมาย
PEG Ratio < 1หุ้นมีมูลค่าต่ำเมื่อเทียบกับอัตราการเติบโตของกำไร หุ้นประเภทนี้มักเป็นหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโต แต่ราคายังไม่สามารถสะท้อนมูลค่าจริงของหุ้นได้
PEG Ratio = 1ราคาหุ้นและอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทอยู่ในอัตราส่วนที่เหมาะสม อธิบายง่าย ๆ คือ ไม่ถูกหรือไม่แพงจนเกินไป
PEG Ratio < 0 หรือ ติดลบบริษัทที่มีกำไรติดลบหรือขาดทุน หมายความว่ามีความเสี่ยงและไม่เหมาะสมต่อการลงทุน

ข้อดีของหุ้นเติบโต

  • ให้ผลตอบแทนจากส่วนต่างของราคา
  • สภาพคล่องสูง เนื่องจากหุ้นเติบโตมักเป็นที่ต้องการของนักลงทุน
  • น่าติดตามมากว่าหุ้นคุณค่าเพราะมักมีนวัตกรรมใหม่ ๆ เสมอ

ข้อเสียของหุ้นเติบโต

  • ผันผวนง่าย
  • ประเมินมูลค่าที่แท้จริงยาก เพราะต้องคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคต
  • เงินปันผลน้อยกว่าหุ้นคุณค่า
  • มีความเสี่ยงมาก โดยเฉพาะความเสี่ยงโดยตรงจากบริษัท

หุ้นคุณค่า (Value Stock) คือ

การลงทุนหุ้นคุณค่า (Value Stock) คือ หุ้นที่มีมูลค่าหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง การถือหุ้นประเภทนี้ บริษัทมักจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและให้ผลตอบแทนที่มั่นคง แม้จะเติบโตช้ากว่าหุ้นเติบโต แต่ความเสี่ยงก็ต่ำกว่าเช่นกัน

การลงทุนในหุ้นประเภทนี้ เหมาะกับนักลงทุนที่คาดหวังผลกำไรในระยะยาวหรือพวกสายลงทุนหุ้นแบบ Vl มากกว่าการถือเพื่อทำกำไรในระยะเวลาสั้น ๆ ครับ

หุ้นคุณค่าดูยังไง?

การหาหุ้นคุณค่าดี ๆ สักตัวเพื่อการลงทุน คุณจำเป็นต้องมองยาว ๆ ครับ มองยาว ๆ ที่ว่า คือ การมองภาพรวมไกล ๆ ว่า ธุรกิจนี้จะยังคงอยู่ได้อีก 5-10 ปี หรือเมื่อเวลาผ่านไปมูลค่าหุ้นของธุรกิจนั้นจะยังคงอยู่และสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับคุณได้ไหม หรือพิจารณาตามข้อต่อไปนี้

  1. วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
  2. ดูอัตราส่วนทางการเงิน
  3. ความมั่นคงของธุรกิจ
  4. ราคาของหุ้นที่ถูก เมื่อเทียบกับมูลค่าที่ควรจะเป็น

อัตราส่วนประเมินมูลค่าของหุ้นคุณค่า

  • P/E Ratio → อัตราส่วนราคาต่อกำไร → ควรมีอัตราส่วนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด
  • P/BV Ratio → อัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี → ควรใกล้เคียง 1 เท่า หรือ ต่ำกว่า 1 เท่า
  • P/CF Ratio → อัตราส่วนราคาต่อกระแสเงินสด → ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม

การเล่นหุ้นแบบ VI คืออะไร?

บิดาการเล่นหุ้นแบบ Vl เบนจามิน เกรแฮม

เบนจามิน เกรแฮม เป็นผู้บุกเบิกการลงทุนหุ้นแบบ VI (Value Investing) หรือการเล่นหุ้นที่เน้นการสร้างมูลค่า โดยนักลงทุนสายนี้มักเน้นที่การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียด เพื่อประเมินพื้นฐานของบริษัทนั้น ๆ และนักลงทุนประเภทนี้จะอาศัยโอกาสเข้าซื้อหุ้นในช่วงที่หุ้นมีราคาต่ำกว่าความเป็นจริง เพื่อรอทำกำไรในอนาคต

ตัวอย่างนักลงทุนสาย Vl ที่ประสบความสำเร็จก็คือ คุณปู่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ที่นักลงทุนรู้จักกันดีในชื่อ “พ่อมดแห่งโอฮามา” นั่นเอง

ข้อดีของหุ้นคุณค่า

  • มั่นคง 
  • ความผันผวนต่ำกว่าหุ้นเติบโต
  • เงินปันผลสูงกว่าหุ้นเติบโต
  • ราคาหุ้นมักต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง นักลงทุนสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่าพื้นฐานได้
  • เหมาะกับนักลงทุนระยะยาว เพราะยิ่งเวลาผ่านไปหุ้นคุณค่าจะยิ่งสะท้อนผลของมูลค่าที่แท้จริงในอนาคต

ข้อเสียของหุ้นคุณค่า

  • ผลตอบแทนไม่สูงมาก
  • ต้องใช้เวลาในการถือนานกว่าจะรู้มูลค่าที่แท้จริงของตัวหุ้น

การเลือกระหว่างหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่านั้น ขึ้นอยู่กับสไตล์การลงทุนและเป้าหมายของตัวคุณเองล้วน ๆ เลยครับ เพราะแท้จริงแล้วไม่มีใครสามารถมาตอบแทนกันได้ว่า เลือกแบบไหนจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด ดังนั้น คุณลองพิจารณาข้อต่อไปนี้ดูครับ

เลือกหุ้นเติบโต (Growth Stock) ถ้า….
⬩ เป็นสายชิลยอมรับความเสี่ยงได้
⬩ คุณเป็นเพื่อนซี้กับความผันผวนรู้จักและเข้าใจมันเป็นอย่างดี
⬩ คาดหวังผลตอบแทนในอัตราที่สูง
⬩ เป็นสายตามกระแสชอบหุ้นเทค หุ้นใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ
⬩ สามารถวิเคราะห์ข่าวอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และจับเทรนด์การลงทุนได้เร็ว

เลือกหุ้นคุณค่า (Value Stock) ถ้า….
⬩ ชอบวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและงบการเงิน
⬩ เน้นผลตอบแทนเป็นเงินปันผลที่สม่ำเสมอ
⬩ ชอบความเสี่ยงต่ำ
⬩ ไม่สนกระแส เน้นแต่ความมั่นคง
⬩ รู้สึกว่าการถือหุ้นเพื่อทำกำไรระยะยาว ๆ ปลอดภัยกว่าการลงทุนระยะสั้น

หากลองเช็กแล้วว่า คุณตอบโจทย์กับ 3 ใน 5 ข้อนี้ที่กล่าวมา ก็มีแนวโน้มว่า คุณอาจเหมาะกับการลงทุนในสไตล์นั้น ๆ นั่นเองครับ อย่างไรก็ดี อย่าลืมสิ่งสำคัญที่พี่โบ้บอกอยู่เสมอด้วยนะครับที่ว่า “อย่าลืมวางแผนการลงทุนให้ดี”

เปรียบเทียบหุ้นเติบโต VS หุ้นคุณค่า

พี่โบ้ได้รรวบรวม 5 หุ้นเติบโตที่อยู่ภายใต้อุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่น่าสนใจมาไว้ให้คุณได้อ่านแล้ว โดยหุ้นเติบโตทั้ง 5 จะมีดังนี้

  1. หุ้น AOT
  2. หุ้น CPALL
  3. หุ้น DELTA
  4. หุ้น BDMS
  5. หุ้น GULF

การแบ่งหุ้นเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นคุณค่า อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ตลาดและผลการดำเนินงาน ข้อมูลนี้จึงเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจนะครับ

*หมายเหตุ: ข้อมูลทั้งหมด อ้างอิง ณ วันที่ 30/06/2568

1. หุ้นเติบโต (Growth Stock) : หุ้น AOT

หุ้นเติบโต (Growth Stock): AOT

บริษัท: ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: บริการ/ท่าอากาศยาน
P/E Ratio (เท่า): 22.47
อัตรากำไรสุทธิ (%): 29.99
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 2.61

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น AOT

  • มีฐานทางการเงินที่แข็งแกร่ง
  • มีท่าอากาศยาน 6 แห่งที่อยู่ภายใต้การบริหาร ซึ่งเป็นท่าอากาศยานหลักของประเทศไทย
  • มีรายได้เชิงพาณิชย์จากการทำสัมปทานปลอดภาษีกับบริษัทเอกชน เช่น King Power รวมถึงการให้บริการอื่น ๆ ที่เกิดกระแสเงิน

2. หุ้นเติบโต (Growth Stock) : หุ้น CPALL

หุ้นเติบโต (Growth Stock): CPALL

บริษัท: ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: บริการ/ร้านสะดวกซื้อ
P/E Ratio (เท่า): 14.63
P/BV Ratio (เท่า): 2.89
อัตรากำไรสุทธิ (%): 3.41
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 3.12

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น CPALL

  • อยู่ในกลุ่มหุ้น ESG ที่เซียนหุ้นหลายคนแนะนำให้มีไว้ติดพอร์ต
  • มีโมเดลธุรกิจที่หลากหลายและครบวงจร ครอบคลุมทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อย
  • เป็นแนวหน้าในธุรกิจค้าปลีก มีฐานลูกค้า เปิดสาขาเป็นจำนวนมากและมีแนวโน้มขยายจำนวนสาขาอย่างต่อเนื่อง

*หมายเหตุ: ESG คืออะไร ทำความรู้จักการลงทุนแบบยั่งยืน ได้ที่ ESG หลักการลงทุนแบบยั่งยืน

3. หุ้นเติบโต (Growth Stock) : หุ้น DELTA

หุ้นเติบโต (Growth Stock): DELTA

บริษัท: เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: เทคโนโลยี
P/E Ratio (เท่า): 59.52
P/BV Ratio (เท่า): 13.99
อัตรากำไรสุทธิ (%): 12.75
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 0.48

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น DELTA

  • มีเครือข่ายการให้บริการทั่วโลกรวมถึงทางฝั่งยุโรปและอเมริกา
  • อุตสาหกรรมที่สำคัญหลายอุตสาหกรรมต้องใช้ผลิตภัณฑ์จาก DELTA เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์, โทรคมนาคม, IT หรือแม้แต่การแพทย์
  • มีประสิทธิภาพในตลาดการแข่งขันของอุตสาหกรรมเดียวกัน เพราะ DELTA มักทุ่มงบประมาณในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ

4. หุ้นเติบโต (Growth Stock) : หุ้น BDMS

หุ้นเติบโต (Growth Stock): BDMS

บริษัท: กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: โรงพยาบาลเอกชน
P/E Ratio (เท่า): 19.94
P/BV Ratio (เท่า): 3.10
อัตรากำไรสุทธิ (%): 15.78
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 3.68

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น BDMS

  • มีฐานลูกค้าหนาแน่นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
  • มีเครือข่ายที่หลากหลายและครอบคลุมแทบทั้งประเทศ
  • เป็นผู้นำในกลุ่มโรงพยาบาลเอกชน มีการพัฒนาเทคโนโลยีและบริการอย่างสม่ำเสมอ

5. หุ้นเติบโต (Growth Stock) : หุ้น GULF

หุ้นเติบโต (Growth Stock): GULF

บริษัท: กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: ทรัพยากร
P/E Ratio (เท่า): 24.43
P/BV Ratio (เท่า):
อัตรากำไรสุทธิ (%): 24.27
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น GULF

  • มีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งอย่าง AIS, PTT และ Thaicom
  • มีธุรกิจในกลุ่มพลังงานที่หลากหลาย ไม่เพียงแต่ไฟฟ้าแต่ยังมีก๊าซธรรมชาติ, พลังงานลม และแสงอาทิตย์
  • รายได้และกระแสเงินสดมั่นคง จากการที่โรงไฟฟ้าหลายแห่งผูกสัญญาระยะยาวกับการไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (กฟผ.)

สำหรับหุ้นคุณค่า พี่โบ้ก็ได้หยิบยกมา 5 ตัวที่น่าสนใจเช่นกัน โดยหุ้น 5 ตัว มีดังนี้

  1. หุ้น PTT
  2. หุ้น SCB
  3. หุ้น BBL
  4. หุ้น CPF
  5. หุ้น SCC

การแบ่งหุ้นเป็นหุ้นเติบโตหรือหุ้นคุณค่า อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามสถานการณ์ตลาดและผลการดำเนินงาน ข้อมูลนี้จึงเป็นเพียงการวิเคราะห์เบื้องต้นเท่านั้น ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน ดังนั้น ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมก่อนตัดสินใจนะครับ

*หมายเหตุ: ข้อมูลทั้งหมด อ้างอิง ณ วันที่ 30/06/2568

1. หุ้นคุณค่า (Value Stock) : หุ้น PTT

หุ้นคุณค่า (Value Stock) : PTT

บริษัท: ปตท. จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: ทรัพยากร
P/E Ratio (เท่า): 10.8
P/BV Ratio (เท่า): 0.73
อัตรากำไรสุทธิ (%): 4.49
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 7.05

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น PTT

  • มีประวัติการจ่ายเงินปันผลอย่างสม่ำเสมอ
  • ดำเนินธุรกิจพลังงานแบบครบวงจร ครอบคลุมทั้งต้นน้ำและปลายน้ำ
  • มีธุรกิจอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจพลังงาน เช่น ยา โภชนาการ และอาหาร เป็นต้น

2. หุ้นคุณค่า (Value Stock) : หุ้น SCB

หุ้นคุณค่า (Value Stock) : SCB

บริษัท: เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: ธุรกิจการเงิน
P/E Ratio (เท่า): 8.76
P/BV Ratio (เท่า): 0.79
อัตรากำไรสุทธิ (%): 24.42
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 8.89

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น SCB

  • เริ่มขยายธุรกิจไปสู่การเงินรูปแบบใหม่ ๆ เช่น สินเชื่อและสินทรัพย์ดิจิทัล
  • เป็นสถาบันการเงินที่เก่าแก่ของประเทศไทย มีความมั่นคงและรากฐานของลูกค้าจำนวนมาก
  • มีเป้าหมายการเติบโตของธุรกิจที่ออกจากรูปแบบเดิม อย่างการเริ่มแข่งขันกับ Non-Bank และ ธุรกิจ Fintech

3. หุ้นคุณค่า (Value Stock) : หุ้น BBL

หุ้นคุณค่า (Value Stock) : BLL

บริษัท: ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: ธุรกิจการเงิน
P/E Ratio (เท่า): 5.61
P/BV Ratio (เท่า): 0.47
อัตรากำไรสุทธิ (%): 20.27
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 6.12

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น BBL

  • เป็นผู้นำด้านธุรกิจสินเชื่อขนาดใหญ่ ขนาดกลาง และขนาดย่อม
  • มีเครือข่ายและสาขาสำนักงานตัวแทนในต่างประเทศมากที่สุดในบรรดาธนาคารไทย ครอบคลุมทั้งในภูมิภาคอาเซียน เอเชีย และตลาดสำคัญอื่น ๆ
  • มีมูลค่าของเงินกองทุนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด (CAR อยู่ในระดับสูง) ซึ่งถือว่า มีความมั่นคงทางการเงินที่สูงมากครับ

4. หุ้นคุณค่า (Value Stock) : หุ้น CPF

หุ้นคุณค่า (Value Stock) : CPF

บริษัท: เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร
P/E Ratio (เท่า): 6.73
P/BV Ratio (เท่า): 0.69
อัตรากำไรสุทธิ (%): 6.63
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 4.55

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น CPF

  • ธุรกิจอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร ได้แก่ ธุรกิจอาหารสัตว์, ธุรกิจอาหาร และธุรกิจเลี้ยงสัตว์ – แปรรูป
  • เป็นแนวหน้าในกลุ่มธุรกิจอาหารเกษตรและอาหารของประเทศไทย
  • มีผลิตภัณฑ์และสายการผลิตที่ครบวงจร หากเทียบกับคู่แข่งในตลาด

5. หุ้นคุณค่า (Value Stock) : หุ้น SCC

หุ้นคุณค่า (Value Stock) : SCC

บริษัท: ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน)
กลุ่มอุตสาหกรรม: อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง
P/E Ratio (เท่า): 40.19
P/BV Ratio (เท่า): 0.58
อัตรากำไรสุทธิ (%): 0.68
อัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (%): 2.98

จุดเด่นของธุรกิจหุ้น SCC

  • มีธุรกิจในเครือที่มีความเชื่อมโยงและสามารถส่งเสริมกันได้เป็นอย่างดี
  • เป็นผู้นำในตลาดปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง ปิโตรเลียมเคมี และแพ็กเกจจิงแบบครบวงจร
  • มีขนาดธุรกิจที่ใหญ่และมีฐานการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจได้

หากอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณยังสับสนว่า จะลงทุนหุ้นแบบไหนดีหรือจะลงทุนทั้งหุ้นเติบโตและหุ่นคุณค่าไปเลย? งั้นลองไปอ่านหัวข้อถัดไปกันครับ

ก่อนอื่นพี่โบ้ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับการลงทุนแบบ Core-Satellite Strategy ก่อนครับ การลงทุนประเภทนี้เป็นการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยง ผ่านการจัดพอร์ตลงทุนแบบทำกำไรในระยะยาวและแบ่งพอร์ตการลงทุนไปลงในหุ้นที่สามารถเก็งกำไรได้ในระยะสั้นด้วย กล่าวคือ เป็นการแบ่งสัดส่วนในการลงทุนเพื่อกระจายความเสี่ยงลงทุนทั้งในหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า เพื่อเพิ่มโอกาสในการลงทุนครับ

เหมาะกับใครหุ้นเติบโต
(Growth Stock )
หุ้นคุณค่า
(Value Stock )
พอร์ตเชิงรุกนักลงทุนสายเก็งกำไร นิยมลงทุนระยะสั้น-ระยะกลาง70% – 90%10% – 30%
พอร์ตสมดุลนักลงทุนสายเติบโต แต่เน้นความสม่ำเสมอ นิยมลงทุนระยะกลาง40% – 60%40% – 60%
พอร์ตเน้นความมั่นคงนักลงทุนสายเน้นความมั่นคง นิยมลงทุนระยะยาว20% – 40%60% – 80%

จะเห็นได้ว่า เปอร์เซ็นต์การจัดสัดส่วนในพอร์ตการลงทุนจะอ้างอิงมาจากสไตล์การลงทุนแต่ละประเภท ดังนั้น ตัวคุณเองก็ต้องพิจารณาจุดนี้ให้ดีว่า คุณเป็นนักลงทุนประเภทไหน ยอมรับความเสี่ยงได้มากน้อยเพียงใด และต้องการใช้เวลาเท่าไหร่กับการลงทุนครับ

*หมายเหตุ: สัดส่วนการลงทุนรูปนี้ อาจไม่เหมาะกับนักลงทุนทุกรูปแบบ ผู้ลงทุนควรศึกษาความเสี่ยงการลงทุนในหุ้นให้ดีก่อนเริ่มทำการลงทุน

หุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า คือ ประเภทของหุ้นที่นักลงทุนนิยมเลือกลงทุน โดยทั้งสองประเภทล้วนตัดมีความแตกต่างกัน ดังนี้

  • หุ้นเติบโต หุ้นที่อยู่ในกระแส เทรนด์ และมีความผันผวนสูง
  • หุ้นคุณค่า หุ้นที่ต้องใช้เวลากว่าจะปรากฏมูลค่าที่แท้จริง ความผันผวนมักต่ำ 

โดยการเลือกลงทุนทั้งสองประเภทนี้ มักขึ้นอยู่กับเป้าหมายของนักลงทุน และความถนัดของผู้ลงทุน หรือบางครั้งนักลงทุนก็นิยมลงทุนในทั้งหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่าในพอร์ตการลงทุน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน อย่างไรก็ดี การวางแผนลงทุนให้รอบคอบก็ถือเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ดี เพื่อไปสู่เป้าหมายในการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับหุ้นเติบโตและหุ้นคุณค่า

1. อัตราส่วน PEG หุ้นคืออะไร?

อัตราส่วน PEG คือ อัตราส่วนที่ใช้วัดความเหมาะสมของมูลค่าหุ้นตัวนั้น ๆ

2. หุ้นเติบโต vs หุ้นปันผล คืออะไร?

หุ้นเติบโตและหุ้นปันผลเป็นรูปแบบการลงทุนในหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกันทั้งคู่ แต่จะแตกต่างกันที่การรับผลตอบแทน โดยหุ้นเติบโตนั้น ผู้ถือได้รับกำไรจากมูลค่าของหุ้น และหุ้นปันผล ผู้ถือจะได้รับกำไรเป็นเงินปันผล อย่างสม่ำเสมอ

3. GARP คืออะไร?

GARP คือตัวย่อของ Growth at a Reasonable Price หรือกลยุทธ์ที่นักลงทุนใช้ดูหุ้นที่มีการเติบโตดีและมีราคาสมเหตุสมผล

4. ช่วงตลาดขาขึ้น หรือ Bull Market หุ้นประเภทใดมีแนวโน้มโดดเด่น?

ช่วงตลาดเป็นขาขึ้น หุ้นเติบโตจะสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าหุ้นคุณค่า เนื่องจากเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย ทำให้นักลงทุนพร้อมจะเทซื้อหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง


อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้

พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter
Picture of Traderbobo
Traderbobo

นักลงทุนในตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย พร้อมแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกการเงิน เหมาะสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

บทความน่าสนใจ
Adsense
Table of Contents
บทความน่าสนใจ
Adsense