ความแตกต่างระหว่างหุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่า

Table of Contents
หุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่า

หุ้นเติบโต (GROWTH STOCK) คืออะไร ?

หุ้นเติบโต คือ หุ้นที่เด่นเรื่องด้านการดำเนินงานต่างๆ อาทิ หุ้นที่เกี่ยวกับงานที่การลงทุนที่สูง รวมไปถึงเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับงานที่ขยายผลทางธุรกิจ นักลงทุนทั่วไปจึงมีคิดว่า “หุ้นดี ย่อมมีราคาแพง” ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะมีกระแสเงินสดและอัตราเงินปันผลอยู๋ในระดับที่ต่ำ โดยเงื่อนไขต่างๆจะขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ซึ่งบางบริษัทอาจจะไม่จ่ายเงินปันผลก็ได้ 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าหุ้นไหนเป็นหุ้นเติบโต ? 

โดยหลักจะดูจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD) มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO) และอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้

1.อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD)

ต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด เพราะว่าธุรกิจต้องสำรองเิงนทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจ 

2.หุ้นที่มีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO)

ต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด

3.หุ้นที่มีการซื้อขายที่มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) 

ต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด เพราะว่ามียอดขายและความสามารถในการทำกำไรที่ดี ย่อมส่งผลให้นักลงทุนยินดีที่จะซื้อหุ้นในราคาที่สูงนั้นเอง

หุ้นเติบโตกับหุ้นคุณค่า

แล้ว…หุ้นคุณค่า (VALUE STOCK) ล่ะคืออะไร ? 

หุ้นลักษณะนี้จะตรงข้ามกับหุ้นเติบโต โดยสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนมองว่าเป็น”หุ้นดี ราคาถูก” โดยลักษณะหุ้นจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงกว่าหุ้นทั่วไป เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจที่มีความมั่นคง มีผลประกอบการการที่ดำเนินงานโตอย่างสม่ำเสมอ และมีกระแสเงินสดและอัตราเงินปันผลในระดับที่สูงนั้นเอง 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าหุ้นไหนเป็นหุ้นคุณค่า (VALUE STOCK) ? 

โดยหลักจะดูจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD) มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO) และอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้

1.อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD)

ต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาดนั้นเอง

2.มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO)

ต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด

3.อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) 

ต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด เพราะว่าหุ้นลักษณะนี้จะมีผลต่อการดำเนินงานต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันหรือต่ำกว่าตลาดคาดการณ์

หุ้นเติบโต (GROWTH STOCK) คืออะไร ? 

หุ้นเติบโต คือ หุ้นที่เด่นเรื่องด้านการดำเนินงานต่างๆ อาทิ หุ้นที่เกี่ยวกับงานที่การลงทุนที่สูง รวมไปถึงเป็นหุ้นที่เกี่ยวกับงานที่ขยายผลทางธุรกิจ นักลงทุนทั่วไปจึงมีคิดว่า “หุ้นดี ย่อมมีราคาแพง” ซึ่งหุ้นเหล่านี้จะมีกระแสเงินสดและอัตราเงินปันผลอยู๋ในระดับที่ต่ำ โดยเงื่อนไขต่างๆจะขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท ซึ่งบางบริษัทอาจจะไม่จ่ายเงินปันผลก็ได้ 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าหุ้นไหนเป็นหุ้นเติบโต ? 

โดยหลักจะดูจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD) มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO) และอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้

1.อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD)

ต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด เพราะว่าธุรกิจต้องสำรองเิงนทุนหมุนเวียนสำหรับธุรกิจ 

2.หุ้นที่มีมูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO)

ต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด

3.หุ้นที่มีการซื้อขายที่มีอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) 

ต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด เพราะว่ามียอดขายและความสามารถในการทำกำไรที่ดี ย่อมส่งผลให้นักลงทุนยินดีที่จะซื้อหุ้นในราคาที่สูงนั้นเอง

แล้ว…หุ้นคุณค่า (VALUE STOCK) ล่ะคืออะไร ? 

หุ้นลักษณะนี้จะตรงข้ามกับหุ้นเติบโต โดยสิ้นเชิง เนื่องจากเป็นจะเป็นหุ้นที่นักลงทุนมองว่าเป็น”หุ้นดี ราคาถูก” โดยลักษณะหุ้นจะเป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานแข็งแรงกว่าหุ้นทั่วไป เป็นหุ้นที่เกี่ยวกับธุรกิจที่มีความมั่นคง มีผลประกอบการการที่ดำเนินงานโตอย่างสม่ำเสมอ และมีกระแสเงินสดและอัตราเงินปันผลในระดับที่สูงนั้นเอง 

แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่าหุ้นไหนเป็นหุ้นคุณค่า (VALUE STOCK) ? 

โดยหลักจะดูจาก 3 ปัจจัยหลัก คือ อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD) มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO) และอัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) ซึ่งรายละเอียดมีดังต่อไปนี้

1.อัตราการจ่ายเงินปันผล (LOW DIVIDEND YIELD)

ต้องสูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาดนั้นเอง

2.มูลค่าทางบัญชีต่อหุ้น (P/BV RATIO)

ต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด

3.อัตราส่วนราคาตลาดต่อกำไรต่อหุ้น (P/E RATIO) 

ต้องต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันหรือตลาด เพราะว่าหุ้นลักษณะนี้จะมีผลต่อการดำเนินงานต่ำกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันหรือต่ำกว่าตลาดคาดการณ์

เป็นไงบ้างครับ สำหรับบทความ “ความแตกต่างระหว่างหุ้นเติบโต กับ หุ้นคุณค่า” ถ้าทุกคนชอบบทความการลงทุนแบบนี้อย่าลืมกด LIKE กด SHARE ให้พี่โบ้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 


อ่านบทความเพิ่มเติม: สาระน่ารู้

วิเคราะห์ราคาทองคำรายวัน: วิเคราะห์ราคาทองคำ และ Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter