
Market Watch จับตาโลกวันนี้ : เมื่อวันศุกร์ (23 ก.ย.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นยุโรปปิดร่วง จากการที่นักลงทุนยังคงเทขายหุ้น นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุที่ดิ่งลงเกือบ 6% เนื่องจากความกังวลว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) คุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจทำให้เศรษฐกิจถดถอย
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงในวันศุกร์ (23 ก.ย.) จากการที่นักลงทุนยังคงเทขายหุ้น เนื่องจากความกังวลว่า การที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) คุมเข้มนโยบายการเงินต่อไป เพื่อสกัดเงินเฟ้อ อาจทำให้เศรษฐกิจถดถอย
Dow Jones -1.62%
S&P500 -1.72%
Nasdaq -1.80%
ดัชนี Dow Jones ร่วงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 หรือร่วงลงมากกว่า 20% จากระดับปิดสูงเป็นประวัติการณ์ เมื่อวันที่ 4 ม.ค. ซึ่งทำให้ตลาดหุ้นเข้าสู่ภาวะซบเซา
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดตลาดในแดนลบ นำโดยกลุ่มพลังงานและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยซึ่งร่วงลง 6.75% และ 2.29% ตามลำดับ
นักลงทุนคาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมกำหนดนโยบายการเงินในเดือน พ.ย. และปรับขึ้นอีก 0.50% ในเดือน ธ.ค.
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดร่วงลงในวันศุกร์ (23 ก.ย.) นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มวัสดุที่ดิ่งลงเกือบ 6% จากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซาของยูโรโซน ซึ่งบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
CAC-40 -2.28%
Stoxx Europe 600 -2.34%
DAX -1.97%
FTSE 100 -1.97%
หุ้นใหญ่ทุกกลุ่มปรับตัวลง เช่น กลุ่มธนาคารร่วง 3.6% โดยหุ้นเครดิต สวิส ดิ่งลง 12.4% สู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
หุ้นกลุ่มพลังงานถ่วงดัชนี STOXX 600 ลงมากที่สุด โดยราคาน้ำมันทรุดลง 5% จากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ ทำให้หุ้นในบีพี, โททาลเอเนอร์จีส์ และหุ้นเชลล์ ดิ่งลง 4.9-7%
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 5 เดือน หลังจากราคาโลหะร่วงลง