Market Watch จับตาดูโลก ประจำวันที่ 17 พฤษภาคม 2565

Table of Contents

▪ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ (16 พ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ หลังจากจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่ซบเซา ซึ่งเพิ่มความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง

Dow Jones +0.08%

S&P500 -0.39%

Nasdaq -1.20%

ทางการจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอเมื่อวานนี้ เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ได้ส่งผลกระทบต่อการอุปโภคบริโภค, การผลิต และตลาดแรงงาน โดยข้อมูลดังกล่าวทำให้นักลงทุนวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจจีนอาจจะหดตัวลงในไตรมาส 2 ปีนี้

สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน (NBS) รายงานว่า ยอดค้าปลีกเดือน เม.ย. ร่วงลง 11.1% ในเดือน เม.ย. ซึ่งย่ำแย่กว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงเพียง 6.1% ขณะที่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย. ลดลง 2.9% สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.4%

ส่วนอัตราว่างงานของจีนในเดือน เม.ย. พุ่งขึ้นแตะระดับ 6.1% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2563 จากระดับ 5.8% ในเดือน มี.ค. และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้น 6.8% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น 7%

หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 2.12% โดยหุ้นราล์ฟ ลอเรน ร่วงลง 1.53%, หุ้นไนกี้ ปรับตัวลง 0.36% เเละหุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ ดิ่งลง 5.1%

ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลง 0.91% นำโดยหุ้นแอมะซอน ร่วงลง 1.99%, หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ลดลง 0.6%, หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 1.07%, หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 1.38% เเละหุ้นอินเทล ร่วงลง 1.19%

หุ้นทวิตเตอร์ ร่วงลง 8.1% และหุ้นเทสลา ดิ่งลง 5.88% หลังจากนายอีลอน มัสก์ ซีอีโอบริษัทเทสลากล่าวว่า มูลค่าการซื้อกิจการบริษัททวิตเตอร์ควรจะอยู่ต่ำกว่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นราคาที่เขาเสนอซื้อก่อนหน้านี้

ราคาหุ้นทวิตเตอร์ยังได้รับแรงกดดันจากการที่นายมัสก์กล่าวว่า เขาจะพักการเจรจาข้อตกลงในการซื้อกิจการทวิตเตอร์เป็นการชั่วคราว จนกว่าเขาจะได้รับข้อมูลมากขึ้นเกี่ยวกับจำนวนบัญชีปลอมบนทวิตเตอร์ โดยนายมัสก์กล่าวว่า ภารกิจแรกของเขา คือ การกวาดล้าง “Spam Bots” ออกจากทวิตเตอร์

อย่างไรก็ดี หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้นหลังจากราคาน้ำมัน WTI ดีดตัวขึ้นกว่า 3% ขานรับข่าวเซี่ยงไฮ้วางแผนยุติมาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 1 มิ.ย. นี้ โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 3.06%, หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.35%, หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.98%, หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดีดขึ้น 4.04% เเละหุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลียม ทะยานขึ้น 5.68%

หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ปรับตัวขึ้นเช่นกัน นำโดยหุ้นอิไล ลิลลี่ (Eli Lilly) พุ่งขึ้น 2.66% หลังจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ อนุมัติการจำหน่ายยา Tirzepatide สำหรับรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes) ส่วนหุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.11% เเละหุ้นไฟเซอร์ ปรับตัวขึ้น 1.52%

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) สาขานิวยอร์ก เปิดเผยดัชนีภาคการผลิต (Empire State Index) ร่วงลงแตะระดับ -11.6 ในเดือน พ.ค. จากระดับ 24.6 ในเดือน เม.ย. โดยดัชนีที่อยู่ต่ำกว่าระดับ 0 บ่งชี้ถึงการหดตัวของภาคการผลิตในนิวยอร์ก

นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงวอลมาร์ท, ทาร์เก็ต และโฮมดีโปท์

▪ ตลาดหุ้นยุโรป ปิดทรงตัวในวันจันทร์ (16 พ.ค.) เนื่องจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ได้ช่วยพยุงตลาด ขณะที่ตลาดหุ้นเยอรมนีและฝรั่งเศสลดลงมากที่สุด หลังจีนเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอ ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลก

Stoxx Europe 600 +0.04%

CAC-40 -0.23%

DAX -0.45%

FTSE 100 +0.63%

การคุมเข้มนโยบายการเงิน, การล็อกดาวน์ของจีนเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และสงครามรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการลงทุนในปีนี้ โดยดัชนี STOXX 600 ร่วงลงประมาณ 11% แล้วในปีนี้

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ บวก 1.5% เนื่องจากราคาโลหะอุตสาหกรรมปรับตัวขึ้น ซึ่งได้ช่วยชดเชยการปรับตัวลงของหุ้นกลุ่มอื่นๆ

ส่วนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลงมากที่สุด และหุ้นบริษัทสินค้าหรูหรา ซึ่งพึ่งพาอุปสงค์จากจีนนั้นร่วงลงตามกัน เช่น หุ้นหลุยส์วิตตอง ร่วงลง 1.1%

▪ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ด้วย ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือน เม.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน เม.ย., ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยเดือน พ.ค. จากสมาคมผู้สร้างบ้านแห่งชาติ (NAHB), การเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือน เม.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดขายบ้านมือสองเดือน เม.ย.

Social Share
Facebook
Twitter