Stochastic คืออะไร? Oscillator Indicator “ลูกรัก” สายเทรดสั้น

Table of Contents
Stochastic

ปัจจุบันการเทรด Forex ถือว่าได้รับความนิยมมากที่สุดที่สุดในด้าน “การลงทุน” เนื่องจากเป็นตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก และมีสภาพคล่องสูง ทำให้นักลงทุนหรือเทรดเดอร์ต่างให้ความเชื่อถือและยอมรับในตลาดแห่งนี้ ซึ่งนักลงทุนส่วนใหญ่จะนิยมการเทรดสั้น เช่น Day Trade, Scalping หรือ Swing Trade เนื่องจากสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว และจำนวนหลายครั้งต่อวัน โดยตัวช่วยที่ดีที่สุดในการเทรดสั้น คือ อินดิเคเตอร์ (Indicator) ประเภท Oscillator Indicator เนื่องจากสามารถบอกสัญญาณซื้อขายได้ค่อนข้างไว

ดังนั้น บทความนี้ Traderbobo ขอนำเสนอ Stochastic Oscillator ซึ่งเป็น Indicator ลูกรักของสายเทรดสั้นทั่วโลก และได้รับการยอมรับสูงสุด เนื่องจาก Stochastic คือ Indicator ที่ให้สัญญาณเร็วกว่าอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ที่มีในโปรแกรมเทรด นอกจากนี้ Stochastic ยังถูกขนานนามว่า “แฝดคนละฝาของ RSI” โดยระบบเทรด Stochastic จะมีลักษณะคล้ายกับ RSI แต่สามารถใช้งานได้ดีกว่าในสภาวะ Sideway ซึ่งมีประเด็นสำคัญที่ควรรู้ดังนี้

  • Stochastic Oscillator คืออะไร
    • ประวัติ
    • จุดแข็งของ Stochastic
  • Stochastic บอกอะไร
  • สูตรคำนวณ Stochastic Oscillator
  • การตั้งค่า Stochastic Oscillator
    • Stochastic ค่าที่นิยม
    • Stochastic ค่ามาตรฐาน
  • วิธีการใช้ Stochastic ทำกำไรในตลาด Forex
    • Overbought และ Oversold
    • Crossover
      • Crossover ในโซน Overbought
      • Crossover ในโซน Oversold
    • Divergence
      • Bullish Divergence
      • Bearish Divergence
  • ระบบเทรด Stochastic Oscillator ตั้งค่าเทรดสั้น
    • Day Trading
    • Scalping Trading
    • Swing Trading
  • RSI กับ Stochastic ต่างกันอย่างไร
  • เงื่อนไขการใช้ Stochastic Oscillator
  • คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Stochastic Oscillator Indicator

———————————— 🐶 ————————————

Stochastic Oscillator คืออะไร ?

หากใครเป็นเทรดเดอร์สายเทรดสั้นคงคุ้นชินกับอินดิเคเตอร์ RSI และ Stochastic Oscillator ซึ่งเป็น Indicator ยอดนิยมของการเทรดสั้นเลยก็ว่าได้ โดยอินดิเคเตอร์ 2 ตัวนี้ มีองค์ประกอบที่ค่อนข้างคล้ายกัน แต่มีการคำนวณที่แตกต่างกันครับ ทำให้ Stochastic Oscillator ค่อนข้างให้สัญญาณที่ว่องไวกว่า แต่ความเร็วก็แลกมาด้วยสัญญาณหลอกที่มากกว่าเช่นกัน

Stochastic Oscillator (Stoch) คือ Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือทำนายทิศทางราคาในอนาคตของสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Stock, Commodity, Cryptoocurrency รวมถึง Forex ซึ่ง Stochastic มีให้บริการในโปรแกรมเทรดทั้ง MT4 และ MT5

ประวัติผู้คิดค้น Stochastic Oscillator

Stochastic
Source: Scribd

จากข้อมูลหลายแห่งทำให้เชื่อว่า Stochastic Oscillator ถูกคิดค้นมาจาก George C. Lane เมื่อปลายปี 1950 แต่มีอีกสมมติฐานที่เป็นข้อถกเถียงว่า บริษัท Investor Educatur คือ ผู้คิดค้น Stochastic Oscillator เนื่องจากบริษัทนี้ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ Stochastic Process ซึ่งมีเนื้อหาเรื่อง Stochastic Indicator ร่วมด้วย

  • Sto ย่อมาจาก Stochastic Oscillator หรือบางคนเรียกว่า Stoch
  • Stochastic คือ Oscillator Indicator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา
  • Stochastic Oscillator ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในทุกตลาด โดยเฉพาะ Forex สำหรับเทรดสั้น เช่น Day Trading (Intraday Trading), Scalping Trading และ Swing Tranding

จุดแข็งของ Stochastic Oscillator คืออะไร ?

จุดแข็งของ Stochastic คือ การบอกสัญญาณที่รวดเร็วกว่าอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ เนื่องจากอินดิเคเตอร์ตัวนี้มักมีการเปลี่ยนแปลงของโมเมนตัมก่อนราคาจะเปลี่ยนทิศทาง เนื่องจากการคำนวณที่แตกต่างจากอินดิเคเตอร์ทั่วไป ซึ่งเทรดเดอร์จะได้เปรียบในการกำหนดจุดเข้าซื้อขายได้มากกว่า RSI

โดย Stochastic สามารถบอกได้ทั้งภาวะ Overbought และ Oversold รวมถึง Divergence และ Crosscover ที่เหมือนกับ RSI แต่ค่อนข้างให้ความแม่นยำมากกว่าในช่วงตลาดเป็น Sideway นอกจากนี้ Stochastic Oscillator เหมาะอย่างยิ่งในการเทรดสั้นจนขึ้นแท่นเป็น “อินดิเคเตอร์ลูกรัก”

Stochastic Oscillator คือ Indicator บอกอะไร ?

  • Stochastic ใช้ดูภาวะ Overbought และ Oversold
  • Stochastic ใช้ดูสัญญาณการกลับตัว (Breakout)
  • Stochastic ใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
  • Stochastic สามารถใช้ดูจุดเข้าซื้อขายด้วย Crossover
  • Stochastic สามารถใช้ดูจุดเข้าซื้อขายด้วย Divergence

สูตร Stochastic Oscillator

Stochastic คือ Oscillator Indicator ที่คำนวณโดยเปรียบเทียบราคาปัจจุบัน (Close) กับช่วง High และ Low ของราคาที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบว่า ราคาปัจจุบันอยู่ในช่วงการแกว่งตัวสูงหรือต่ำ และดูว่า แนวโน้มใดแข็งแกร่งกว่ากันในช่วงนั้น ซึ่งมีค่าสำคัญอยู่ 2 ค่า คือ %K และ %D ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

ความหมายของตัวแปร;

  • %K คือ ตัวแทนของราคาที่เป็นค่าหลักที่เราใช้พิจารณา
  • Current Close คือ ราคาปิด ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน หรือราคาปัจจุบัน
  • Lowest Low คือ ราคาต่ำสุด ณ ช่วงที่พิจารณา
  • Highest High คือ ราคาสูงสุด ณ ช่วงที่พิจารณา

ความหมายของตัวแปร;

  • %D คือ การคำนวณค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ SMA 3 วันของเส้น %K

* หมายเหตุ : ในกรณีที่ตลาดมีความผันผวนสูงจนทำให้ราคาวิ่งแรง เราจะดูเส้น %D ก่อนเส้น %K เนื่องจาก %K ตอบสนองต่อราคาเร็วกว่า จึงทำให้อาจอ่อนไหวไปตามความผันผวน แต่ %D จะไม่ค่อยขยับ การทำเช่นนี้เพื่อลดความไขว้เขวต่อความผันผวน

วิธีการตั้งค่า Stochastic Oscillator

จากสูตร Stochastic Oscillator ในหัวข้อก่อนหน้านี้ คุณจะเห็นว่า Stochastic คือ อินดิเคเตอร์ที่มีการนำราคาปัจจุบันเข้ามาคำนวณด้วย และนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Stochastic สามารถส่งสัญญาณได้ค่อนข้างเร็วกว่าอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ซึ่งจะแสดงผลออกมาเป็นดัชนี 0-100 โดยมีเส้นสัญญาณอยู่ 2 เส้นใน Indicator ได้แก่ %K (Fast Stochastic) และ %D (Slow Stochastic) ซึ่งจะมีค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 5 และ 3 ตามลำดับ ดังรูป

Stochastic ตั้งค่า

อีกทั้งคุณยังสามารถกำหนดค่า “Slowing” หรืออาจเรียกว่า “Smooth” ซึ่งเป็นหน่วยถ่วงน้ำหนักสำหรับ %K ได้ตามความต้องการของตนเอง โดยมีค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 3 แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนค่าให้เป็น 1 ได้ เพื่อให้เส้น %K ตอบสนองต่อราคาที่เร็วขึ้น ดังนี้

  • (Slowing,Smooth) = 3 หมายความว่า “Slow Stochastic”
  • (Slowing,Smooth) = 1 หมายความว่า “Fast Stochastic”

ถึงแม้ Fast Stochastic จะให้การตอบสนองต่อราคาที่เร็วกว่า Slow Stochastic แต่ก็สามารถเกิดสัญญาณได้มากกว่าเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จึงนิยมตั้งค่า Slow Stochastic Oscillator มากกว่า

นอกจากนี้ ในช่อง “Method” คุณยังสามารถเลือกใช้เส้นต่าง ๆ ได้ โดยมีอยู่ 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีการคำนวณ และการให้สัญญาณที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดและกลยุทธ์การเทรดของแต่ละบุคคล แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ค่าดั้งเดิม คือ Simple

Stochastic ตั้งค่า

  • Simple คือ การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) และแสดงออกมาเป็นเส้นเรียบแบบคลาสสิก
  • Exponential คือ การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) และแสดงออกมาเป็นเส้นเรียบ
  • Linear Weighted คือ การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักเชิงเส้น (LWMA)
  • Smoothed คือ การปรับเส้นให้เรียบเป็นสองเท่า เนื่องจากคุณสมบัติของการทำให้เรียบแบบ MA (Smoothed MA)

Stochastic Oscillator ค่ามาตรฐาน

  • ค่าเริ่มต้นของ Stochastic Oscillator อยู่ที่ 5, 3, 3 
  • ค่ามาตรฐาน Stochastic Oscillator หรือค่าที่นิยมใช้อยู่ที่ 14, 3, 3 และ 21, 5, 5

*หมายเหตุ : สำหรับค่า Slowing หรือ Smooth ส่วนใหญ่จะนิยมตั้งค่าที่ 1 และ 3 โดยค่า Fast Stochastic เป็นค่าดั้งเดิมของ Stochastic Oscillator แต่ค่า Slow Stochastic ถูกพัฒนาต่อยอดขึ้นมา โดยใช้ Slowing หรือ Smooth เข้ามาถ่วงน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการเกิดสัญญาณหลอก

วิธีการใช้ Stochastic ทำกำไรในตลาด Forex

วิธีการใช้ Stochastic Oscillator เพื่อทำกำไรในตลาดต่าง ๆ มีหลักการเดียวกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 3 สัญญาณหลัก ได้แก่ Overbought และ Oversold, Crossover และ Divergence ซึ่งสัญญาณทั้งหมดนี้สามารถใช้ดูประกอบร่วมกันได้ เพื่อยืนยันสัญญาณให้ชัดเจนขึ้น

  • การดู Overbought และ Oversold
  • การดู Crossover เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย
  • การดู Divergence เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย

แต่ก่อนอื่นเราต้องไปทำความรู้จักกับหน้าตาของ Stochastic Oscillator กันก่อน เพื่อการทำความเข้าใจที่ง่ายขึ้นในการใช้ Indicator โดยมีรายละเอียดดังนี้

ส่วนประกอบของ Stochastic Oscillator

Stochastic

  • เส้นสีฟ้า คือ %K
  • เส้นสีแดง คือ %D
  • ระดับ 80 คือ ค่า Stochastic Oscillator ที่ใช้ดูภาวะ Overbought
  • ระดับ 20 คือ ค่า Stochastic Oscillator ที่ใช้ดูภาวะ Oversold

วิธีการใช้ Stochastic Oscillator ดู Overbought และ Oversold

สำหรับการดูภาวะ Overbought และ Oversold ด้วย Stochastic Oscillator Indicator มีค่าระดับสำคัญอยู่ที่ 80 และ 20 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

สัญญาณความหมาย
Stoch > 80▪ ณ ราคาเกิดภาวะ Overbought
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า 
Stoch > 20▪ ณ ราคาเกิดภาวะ Oversold
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า 

Overbought คืออะไร ?

Overbought คือ ภาวะที่เกิดการซื้อมากเกินไป จนทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นนักลงทุนเริ่มขายสินทรัพย์ออกเพื่อทำกำไร บ่งบอกถึง มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง แม้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

Stochastic

จากตัวอย่าง คุณจะเห็นว่า Stochastic Oscillator อยู่สูงกว่าระดับ 80 หมายความว่า ราคากำลังเกิดภาวะ Overbought ซึ่งมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า

Oversold คืออะไร ?

Oversold คือ ภาวะที่เกิดการขายมากเกินไป จนทำให้ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง จากนั้นสินทรัพย์มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดแก่นักลงทุน บ่งบอกถึง มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น แม้อยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)

Stochastic

ตัวอย่างต่อไปนี้ คุณจะเห็นว่า Stochastic Oscillator อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 หมายความว่า ราคากำลังเกิดภาวะ Oversold ซึ่งมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า

*หมายเหตุ : หากเกิดการ Crossover ของเส้น %K และ %D ในโซน Overbought หรือ Oversold จะถือเป็นการยืนยันสัญญาณให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Crossover ในหัวข้อถัด ๆ ไป

วิธีการใช้ Stochastic Oscillator ดู Divergence

สำหรับการดู Divergence ด้วย Stochastic Oscillator ถือว่าเป็นการให้สัญญาณที่ค่อนข้างมีความแม่นยำสูง สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต และหาจุดเข้าซื้อขาย ซึ่งสัญญาณ Divergence ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาเป็นจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรอบนั้น ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้

Divergence คืออะไร ?

Divergence คือ การที่ราคาเคลื่อนในทิศทางที่สวนทางกับ Indicator ในที่นี้คือ Stochastic Oscillator โดยเมื่อราคาเกิด Divergence จะถือเป็นสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญ และมักเกิดการ Crossover ควบคู่ไปด้วย ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็น 2 กรณี ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Divergence

Stoch Divergenceสัญญาณความหมาย
Bullish Divergenceราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
Stoch บอกทิศทางเป็นขาขึ้น
▪ Stoch < 20
▪ %K ตัด %D ขึ้นไป
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า
Bearish Divergenceราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
Stoch บอกทิศทางเป็นขาลง
▪ Stoch > 80
▪ %K ตัด %D ลงมา
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า

ข้อควรระวัง! เนื่องจาก Stochastic คือ อินดิเคเตอร์ที่ให้สัญญาณเร็ว ดังนั้น ควรพิจารณาการเกิด Divergence ที่โซน Overbought และ Oversold เนื่องจากหากเกิด Divergence ที่โซนปกติจะถือเป็นสัญญาณระยะสั้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ชั่วคราว

Stochcastic Bullish Divergence คืออะไร ?

Stochastic Bullish Divergence คือ Divergence ขาขึ้น เกิดขึ้นเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง หรือลดลงเรื่อย ๆ (Lower High) แต่เส้น %K และ %D ปรับตัวขึ้น อยู่ในโซน Oversold ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า

Stochastic

*หมายเหตุ : ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิด Bullish Divergence ขึ้นจะต้องมีการ Crossover โดยเส้น %K ตัด %D ขึ้นไปในโซน Oversold จะถือเป็นการยืนยันสัญญาณให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Crossover ในหัวข้อถัดไป

Stochcastic Bearish Divergence คืออะไร ?

Stochastic Bearish Divergence คือ Divergence ขาลง เกิดขึ้นเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Higher High) แต่เส้น %K และ %D ปรับตัวลง อยู่ในโซน Overbought ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า

Stochastic

*หมายเหตุ : ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิด Bearish Divergence ขึ้นจะต้องมีการ Crossover โดยเส้น %K ตัด %D ลงมาในโซน Overbought จะถือเป็นการยืนยันสัญญาณให้แม่นยำยิ่งขึ้น โดยคุณสามารถทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Crossover ในหัวข้อถัดไป

วิธีการใช้ Stochastic Oscillator ดู Crossover

สำหรับการดู Crossover ด้วย Stochastic Oscillator เพื่อหาจุดเข้าซื้อขายและคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต เราจะให้ความสำคัญที่การตัดกันของเส้น %K และ %D โดยเมื่อไรที่เส้น %K ตัดกับเส้น %D จะเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “Crossover” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนในการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคา แต่การดู Crossover ของ Stochastic มีข้อที่ต้องระวังมากกว่า RSI ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

สัญญาณความหมาย
%K ตัด %D ลงมาสัญญาณเตือนแนวโน้มขาลง
%K ตัด %D ขึ้นไปสัญญาณเตือนแนวโน้มขาขึ้น

ข้อควรระวัง! เนื่องจาก Stochastic คือ อินดิเคเตอร์ที่ให้สัญญาณเร็ว ดังนั้น การเกิด Crossover ของ Stoch จำเป็นต้องเกิดในโซน Overbought และ Oversold หรือมีการเกิด Divergence ร่วมด้วยเท่านั้น

การเกิด Crossover ของ Stochastic ในโซน Overbought

Stochastic

จากตัวอย่าง เส้น %K ตัดเส้น %D ลงมา ส่งสัญญาณการเกิด Crossover ในโซน Overbouht ซึ่งเป็นสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า

การเกิด Crossover ของ Stochastic ในโซน Oversold

Stochastic

จากตัวอย่าง เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป ส่งสัญญาณการเกิด Crossover ในโซน Oversold ซึ่งเป็นสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า

ระบบเทรด Stochastic Oscillator เทรดสั้น

ในหัวข้อนี้ เราจะแบ่งการเทรดสั้นออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การเทรดแบบ Day Trading, Scalping และ Swing Trading โดยมีรายละเอียดดังนี้

Stochastic Oscillator ตั้งค่า 15,3,3 : Day Trading

เทคนิคสำหรับ Day Trading ของ Stochastic

  • เหมาะกับการใช้ Timeframe (TF) 1H
  • ใช้กับคู่สกุลเงินหลักได้ดี เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY และ USD/CHF รวมถึงการเทรดทอง
  • ใช้ Pivot Point เพื่อกำหนดจุด Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)
  • ใช้อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands (BB) เพื่อใช้ดูแนวโน้มและยืนยันสัญญาณเข้าซื้อขาย

สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบ

  • กราฟแท่งเทียน “ปิดใต้” กรอบ BB
  • Stochastic Oscillator อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 (Oversold)
  • Stochastic Oscillator ตัดเส้น 20 ขึ้นมา หรือตัด Oversold ขึ้นมา

สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบ

  • กราฟแท่งเทียน “ปิดเหนือ” กรอบ BB
  • Stochastic Oscillator อยู่เหนือกว่าระดับ 80 (Overbought)
  • Stochastic Oscillator ตัดเส้น 80 ขึ้นมา หรือตัด Overbought ขึ้นมา

Stochastic Oscillator ตั้งค่า 13,8,8 : Scalping Trading

เทคนิคสำหรับ Scalping Trading ของ Stochastic

  • ใช้ Pivot Point โดยตั้งค่าบน TF 1H เพื่อกำหนดจุด Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)
  • ใช้ TF 30M เพื่อดูแนวโน้มภาพรวม
  • หลังจากนั้นใช้ TF 5M เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย
  • ใช้กับคู่สกุลเงินหลักได้ดี เช่น EUR/USD, GBP/USD, GBP/JPY, USD/JPY, AUD/USD, EUR/JPY และ USD/CHF

สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบ

  • ใช้ TF 30M เพื่อดูว่า Stochastic Oscillator เป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือไม่
  • Stochastic Oscillator ต้องตัดเส้น 20 ขึ้นมา (Oversold) หรือเพิ่งผ่านระดับ 50 ขึ้นไป
  • จากนั้นใช้ TF 5M เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย

สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบ

  • ใช้ TF 30M เพื่อดูว่า Stochastic Oscillator เป็นแนวโน้มขาลงหรือไม่
  • Stochastic Oscillator ต้องตัดเส้น 80 ลงมา (Overbought) หรือเพิ่งหลุดระดับ 50 ลงไป
  • จากนั้นใช้ TF 5M เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย

Stochastic Oscillator ตั้งค่า 6,3,3 : Swing Trading

เทคนิคสำหรับ Scalping Trading ของ Stochastic

  • SMA (150)
  • RSI (3)
  • ใช้ Pivot Point โดยตั้งค่าบน TF 1MN

สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบ

  • ราคาต้องอยู่เหนือเส้น SMA (150)
  • ค่า RSI ต้องอยู่ต่ำกว่า 30
  • Stochastic Oscillator ต้องตัดระดับ 20 ขึ้นมา

สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบ

  • ราคาต้องอยู่ใต้เส้น SMA (150)
  • ค่า RSI ต้องอยู่สูงกว่า 70
  • Stochastic Oscillator ต้องตัดระดับ 80 ลงมา

RSI กับ Stochastic ต่างกันอย่างไร ?

RSIStochastic
สัญญาณใช้เส้นสัญญาณเส้นเดียวในการวัดความผันผวนด้วยค่าดัชนี 0-100 โดยระดับสำคัญอยู่ที่ 30 และ 70ใช้เส้นสัญญาณ 2 เส้นในการวัดความผันผวนด้วยค่าดัชนี 0-100 โดยระดับสำคัญอยู่ที่ 20 และ 80
ค่ามาตรฐานRSI = 14%K = 14
%D = 1 หรือ 3
Smooth = 3
แนวคิดวัดความเร็วและความผันผวนของราคาล่าสุดวัดความแข็งแกร่งของราคา
Overbought และ Oversold ในช่วงตลาดเป็น Sidewaysไม่ให้สัญญาณให้สัญญาณ
Crossoverสะท้อนทิศทางตลาดโดยรวมให้สัญญาณระยะสั้น
การใช้งานใช้สำหรับสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มใช้ในแนวโน้มที่แข็งแกร่งสำหรับการเทรดระยะสั้น

เงื่อนไขการใช้ Stochastic Oscillator

เงื่อนไขการใช้ Stochastic มีอยู่อย่างเดียว คือ Stochastic คือ อินดิเคเตอร์ที่ให้สัญญาณค่อนข้างเร็ว ทำให้เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้ในการเทรดสั้น แต่ความเร็วในการให้สัญญาณต้องแลกมาด้วย “สัญญาณหลอก” ค่อนข้างมาก ดังนั้น การใช้งาน Stochastic ให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการยืนยันสัญญาณทุกครั้ง เมื่อเกิดสัญญาณจาก Stochastic ขึ้น เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเปิดออเดอร์

———————————— 🐶 ————————————

สรุป Stochastic Oscillator คืออะไร

Stoch ย่อมาจาก Stochastic คือ Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต ซึ่ง Stochastic เป็นหนึ่งใน Indicator ที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะสายเทรดสั้นเรียกว่า ขึ้นแท่นลูกรักเลยก็ว่าได้ เนื่องจาก Stochastic Oscillator ให้สัญญาณที่เร็วมากกว่าอินดิเคเตอร์ตัวอื่น และสามารถใช้ประโยชน์ในการดูสัญญาณได้อย่างหลากหลาย

  • ใช้ดูภาวะ Overbought และ Oversold
  • ใช้ดูสัญญาณการกลับตัว (Breakout)
  • ใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
  • สามารถใช้ดูจุดเข้าซื้อขายด้วย Crossover
  • สามารถใช้ดูจุดเข้าซื้อขายด้วย Divergence

แต่ด้วยการให้สัญญาณที่รวดเร็ว ทำให้การใช้ Indicator ตัวนี้ในการเทรดค่อนข้างพบเจอกับสัญญาณหลอกได้ง่าย จึงจำเป็นมากที่ต้องดูสัญญาณยืนยันหลายอย่างประกอบกัน เพื่อลดโอกาสผิดพลาดในการเทรด

นอกจากนี้ Stochastic Oscillator ยังสามารถใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ได้ค่อนข้างดี ซึ่งในการวิเคราะห์กราฟราคา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้อินดิเคเตอร์ 2 ตัวขึ้นไป เพื่อคอนเฟิร์มสัญญาณการเข้าซื้อขายให้แน่ชัด และทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพากที่สุด โดย Indicator ที่นิยมใช้ร่วมกับ Stochastic เช่น

อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้ ไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนแต่อย่างใด และการลงทุนไม่ว่าจะในตลาดใดล้วนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุนทุกครั้งครับ

หากใครกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex อยู่ เราได้รวบรวมไว้ที่นี่!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Stochastic Oscillator Indicator

การตั้งค่า Stochastic 9 3 3

คำตอบ: การตั้งค่า Stochastic 9 3 3 เป็นการตั้งค่า Stochastic Oscillator Indicator แบบเทรดสั้น เช่น Swing Trading

RSI กับ Stochastic ต่างกัน อย่างไร?

คำตอบ: การให้สัญญาณ, ค่ามาตรฐาน, แนวคิด, Crossover และการใช้งาน

ระบบเทรด Stochastic

คำตอบ: ค่อนข้างเหมาะกับการเทรดสั้น

Stochastic Oscillator คืออะไร?

คำตอบ: คือ Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือทำนายทิศทางราคาในอนาคตของสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Stock, Commodity, Cryptoocurrency รวมถึง Forex ซึ่ง Stochastic มีให้บริการในโปรแกรมเทรดทั้ง MT4 และ MT5

Stochastic อ่านว่าอะไร?

คำตอบ: สะ-โต-แคช-ติค

Stochastic ตั้งค่า

คำตอบ: ค่าเริ่มต้นของ Stochastic Oscillator อยู่ที่ 5, 3, 3 

Sto ย่อมาจาก

คำตอบ: Stoch หรือ Stochastic Oscillator

Stochastic RSI คืออะไร?

คำตอบ: Stochastic และ RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ในการเทรด แต่ทั้ง 2 อย่างมีข้อแตกต่างกัน

Stochastic 14, 3, 3

คำตอบ: ค่ามาตรฐาน Stochastic Oscillator หรือค่าที่นิยมใช้อยู่ที่ 14, 3, 3 และ 21, 5, 5

Stoch คืออะไร?

คำตอบ: Stoch ย่อมาจาก Stochastic Oscillator เป็นอินดิเคเตอร์ชนิดหนึ่ง


อ่านบทความเพิ่มเติม: สาระน่ารู้

วิเคราะห์ราคาทองคำรายวัน: วิเคราะห์ราคาทองคำ และ Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter