หลักการลงทุนหุ้นเติบโต (Growth Stock) ที่ ‘ควรรู้’ ก่อนซื้อหุ้น

Table of Contents
ลงทุนหุ้น

หลักการสำคัญในการลงทุนหุ้นเติบโต (เคล็ดไม่ลับ)!

บริษัทที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในระดับสูงจะสามารถสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้กับนักลงทุนหรือผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งหุ้นของบริษัทเหล่านี้จะถูกเรียกว่า หุ้นเติบโต (Growth Stock) โดยส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี จากการเติบโตและผลตอบแทนของมันทำให้หุ้นกลุ่มนี้เป็นที่นิยมของเหล่านักลงทุนน้อยใหญ่มาเป็นเวลานาน แต่ใช่ว่าใครเข้าไปลงทุนก็จะได้รับผลตอบแทนสูงเหมือนกันหมด เนื่องจากระยะเวลาในการเข้าลงทุนหุ้นหรือซื้อหุ้นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนที่นักลงทุนจะได้รับ อย่างคำที่ว่า “รู้ก่อน รวยก่อน” สำหรับบทความนี้โบ้จะพูดถึงหลักการเข้าลงทุนหุ้นจากเส้นโค้งการเติบโต หรือ Growth Curve

หุ้นเติบโต (Growth Stock) คืออะไร?

หุ้นเติบโต คือ หุ้นที่มีการเติบโตอย่างโดดเด่น และรวดเร็วกว่าหุ้นตัวอื่น ๆ โดยอัตราการเติบโตมักจะสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ โดยทั่วไปหุ้นเหล่านี้จะไม่จ่ายเงินปันผล เนื่องจากบริษัทมักจะนำรายได้มาลงทุนซ้ำ เพื่อเร่งการเติบโตในระยะสั้น การเติบโตนี้ครอบคลุมตั้งแต่รายได้และกำไรของบริษัท และอย่างที่กล่าวไปข้างต้น สาเหตุหลักที่นักลงทุนอยากครอบครองหุ้นเติบโต คือ การได้รับผลตอบแทนระดับสูงในระยะเวลาการถือหุ้นที่ไม่นาน

นอกจากนี้ หุ้นเติบโตมักจะมีราคาสูงเกินความเป็นจริง ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตที่ทำให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้นมาก และที่สำคัญเป็นหุ้นที่มีความผันผวนกับปัจจัยภายนอกสูง ดังนั้น นักลงทุนต้องติดตามข่าวสารอยู่ตลอด เพื่อที่จะได้หาโอกาสเข้าและออกได้ทันท่วงที

Growth Curve คืออะไร?

Growth Curve หรือเส้นโค้งการเติบโต เป็นเส้นกราฟที่แสดงให้เห็นรูปแบบการเติบโตของหุ้นกลุ่มเติบโตได้ดีที่สุด ซึ่งกราฟจะประกอบไปด้วย 2 อย่าง ได้แก่ ตลาดและเวลา

ตามธรรมชาติการแพร่กระจายของเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็นสมาร์ทโฟน รถไฟฟ้า หรือกล้องดิจิทัล จะถูกกระจายตัวออกมาในรูปแบบของกราฟระฆังคว่ำ (Bell Curve) ดังนั้น Growth Curve โดยเริ่มจากกลุ่มคนจำนวนน้อยที่เริ่มใช้เทคโนโลยีก่อน เนื่องจากเทคโนโลยีอาจจำเป็นสำหรับคนกลุ่มนี้มาก แต่ก็ยังมีราคาที่สูงอยู่ เปรียบเหมือนฐานของระฆังที่กำลังจะขึ้นไปจุดสูงสุด หลังจากนั้นเมื่อราคาเทคโนโลยีเริ่มลดลง พร้อมทั้งผู้คนเริ่มเห็นความสำคัญของมันมากยิ่งขึ้น ทำให้คนจำนวนมากเริ่มเข้ามาใช้เทคโนโลยีจนเส้นกราฟขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของระฆัง และเมื่อเทคโนโลยีได้กระจายสู่ทุกคนอย่างทั่วถึงแล้ว จำนวนผู้ใช้ใหม่ก็จะเริ่มชะลอตัว และลดลงในที่สุด

ลงทุนหุ้น

การลงทุนหุ้นเติบโตจาก Growth Curve

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่า การที่นักลงทุนส่วนใหญ่จะให้มูลค่ากับหุ้นเติบโตมักจะดูจากความใหญ่ของ Curve ในช่วงโอกาสหรืออนาคต ไม่ใช่ในส่วนที่ทำการขายไปแล้ว เนื่องจากหากมองในระยะยาว การที่บริษัทสามารถสร้างโอกาสและเทคโนโลยีที่คนทั่วโลกจะต้องหันมาใช้ในอนาคตได้นั่นแสดงว่า ความเป็นไปได้ที่บริษัทจะสามารถทำกำไรก็จะอยู่ในระดับสูงขึ้น พูดง่าย ๆ คือ นักลงทุนควรมองหาหุ้นที่มีการเติบโตเป็น Curve ที่ใหญ่

ลงทุนหุ้น

แค่คิดตามก็ดูเหมือนจะดูง่าย แต่ทำจริงนั้นยากเหลือเกิน เนื่องจากเราไม่สามารถที่จะรู้ได้เลยว่า Curve ของหุ้นแต่ละตัวนั้นจะออกมาในรูปแบบใด เช่น แว่น AR ของ Google ที่มีการเปิดตัวตั้งแต่ปี 2012 และในปีนี้ก็ได้มีการปรับฟีเจอร์ใหม่เข้ามา ในช่วงแรกตลาดคาดการณ์ว่า เทคโนโลยีตัวนี้จะต้องมาแรง แต่ดูเหมือน Curve จะไม่เป็นไปอย่างที่คิด เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้ยังกระจุกอยู่แค่กลุ่มเล็ก ๆ ในทางกลับกันธุรกิจ E-Commerce ที่ไม่ได้รับความสนใจจากตลาดมากนักกลับโดดเด่นขึ้นมา เนื่องมาจากปัจจัยภายนอกอย่างการแพร่ระบาดของโควิด-19 และตอนนี้ก็ได้กลายเป็นธุรกิจที่มาแรงที่สุดเป็นที่เรียบร้อย ทำให้ Curve นั้นใหญ่กว่าคาด

ลงทุนหุ้น

ซึ่งการคาดกาณ์ไม่ได้นี่แหละ คือ โอกาสในการลงทุน โดยเราควรลงทุนในบริษัทที่คนส่วนใหญ่คาดคะเนขนาดของ Curve ผิดไป นั้นจะทำให้เราเป็นผู้ที่เริ่มลงทุนก่อน และสามารถสร้างผลตอบแทนได้มากกว่าคนอื่น ๆ ที่ตามมาลงทุนทีหลัง ตัวอย่างเช่น ธุรกิจ EV หรือรถยนต์ไฟฟ้า ในช่วงแรกตลาดคาดการณ์ว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะมีผู้ใช้งานแค่คนบางกลุ่มเท่านั้น อีกทั้งยังต้องใช้เวลากว่า 30 ปี ที่จะทำให้ทั่วโลกยอมรับ แต่ Curve กลับถูกบีบเข้ามา กลายเป็นว่าคนทุกกลุ่มเปิดรับ และเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ทำให้ราคาหุ้น Tesla นั้นเด้งขึ้นหลายเท่าตัวภายในเวลาไม่กี่ปี

อีกทั้ง ถ้าหากนักลงทุนมั่นใจกับการหาข้อมูลของตนเอง และค้นพบว่า ตลาดไม่ได้ให้ความสำคัญกับจุดใดจุดหนึ่งมากพอ โอกาสในการลงทุนก็จะยิ่งมากเท่านั้น แต่ถ้าเมื่อศึกษาไปเรื่อย ๆ แล้ว ตลาดมีแนวโน้มที่จะเห็นด้วยก็ยังมีโอกาสในการทำกำไรอยู่เช่นกัน แต่ผลตอบแทนจะน้อยลง

ลงทุนหุ้น

นอกจากนี้ บางบริษัทอาจไม่ได้มีเส้น Curve แค่เส้นเดียว แต่มีการผลิตเส้น Curve หรือเทคโนโลยีใหม่ ๆ ขึ้นมาอีก ซึ่งอาจทำให้ค้นพบเส้น Curve ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ซึ่งบริษัทต้องตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางใหม่ที่ดีกว่า หรือใช้งานไปควบคู่กัน สำหรับในมุมมองของนักลงทุนแล้ว บริษัทที่มีเส้น Curve หลายเส้นถือว่า ได้เปรียบและน่าลงทุนเป็นอย่างมาก มันคือเรื่องของ Pace of Innovation ซึ่งเป็นหนึ่งในคุณสมบัติของหุ้นที่ดี

ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงที่ Apple ผลิต Ipod ในตอนนั้น Ipod ยังไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก แต่ไม่กี่ปีก็เริ่มเปิดตัว Iphone เนื่องจากตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า ทำให้การเติบโตของ Ipod ลดลงกว่า 20% ต่อปี แต่แนวโน้มการเติบโตของ Iphone เพิ่มขึ้นมากกว่า 50% และกลายเป็นอันดับหนึ่งของตลาดสมาร์ทโฟนได้ในปัจจุบัน


อย่างไรก็ตาม การคาดการณ์ขนาดของ Curve ให้ถูกต้องนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ในความเป็นจริง แต่สิ่งเหล่านี้ คือ แนวทางเบื้องต้นในการวิเคราะห์ก่อนลงทุนหุ้น โดยมีคนเคยกล่าวว่า “การลงทุนเพื่อการเติบโตที่แท้จริงเป็นศิลปะมากกว่าวิทยาศาสตร์” หากอยากประสบความสำเร็จในการลงทุนหุ้นเติบโต จำเป็นต้องทำความเข้าใจเี่ยวกับเทคโนโลยีนั้น ๆ ว่าจะสามารถตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้หรือไม่ จากนั้นถึงแปลงค่าออกมาเป็นยอดขายและกำไร ซึ่งสะท้อนไปถึงมูลค่าตลาดที่ควรจะได้รับในอนาคต

SourceLoupfunds

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่สาระน่ารู้

อ่านรีวิวโบรกเกอร์เพิ่มเติมได้ที่Review Broker

Social Share
Facebook
Twitter
Picture of Traderbobo
Traderbobo

นักลงทุนในตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย พร้อมแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกการเงิน เหมาะสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

บทความน่าสนใจ
Adsense
Table of Contents
บทความน่าสนใจ
Adsense