
Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการวิเคราะห์ ช่วยในการดูแนวโน้ม, หาจุดเข้าซื้อ-ขาย รวมถึงสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้อีกด้วย🔥
. . . . . . . . . . . . . . .
การเทรดเป็นรูปแบบการลงทุนที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นตลาด Forex, Cryptocurrency หรือ Stock โดยตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้การเทรดของคุณมีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น คือ อินดิเคเตอร์ (Indicator) และ “Moving Average” เป็นอินดิเคเตอร์ตัวแรกที่ผมอยากแนะนำสำหรับมือใหม่ครับ
บทความนี้ Traderbobo ขอนำเสนออินดิเคเตอร์ตัวสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจ เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำคัญในการใช้ Indicator และสามารถต่อยอดไปยังอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ได้ นั่นคือ Moving Average Indicator หรือที่เรารู้จักกันในนาม MA Indicator
*หมายเหตุ: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และการเทรดฟอเร็กซ์จำเป็นต้องอาศัยการวิเคราะห์ทาง Fundamental และ Technical ร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการเทรด
. . . . . . . . . . . . . . .
Moving Average (MA) คืออะไร?
Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่หรือเส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ ช่วยในการดูแนวโน้ม, หาจุดเข้าซื้อ-ขาย รวมถึงสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้อีกด้วย โดยจะใช้ราคาปิดย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนดในการคำนวณ เพื่อตรวจสอบแนวรับและแนวต้าน
ทำให้เส้นที่แสดงผลออกมานั้นสามารถบ่งชี้ถึงราคาก่อนหน้าของสินทรัพย์ได้ และช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มราคา (Trend) ในอนาคตได้แม่นยำขึ้น ซึ่งจะแสดงผลออกมาในรูปแบบเส้นเรียบ (Smooth) ดังนั้น Moving Average หรือ MA จึงเป็น Indicator ที่เข้าใจง่ายและสะดวกต่อการใช้งานโดยเฉพาะเทรดเดอร์มือใหม่
Moving Average บอกอะไรได้บ้าง?
- คุณสามารถใช้ Moving Average เพื่อดูแนวโน้มราคาหรือเทรนด์
- คุณสามารถใช้ Moving Average เพื่อหาจุดเข้าซื้อ-ขาย
- คุณสามารถใช้ Moving Average Indicator เป็นแนวรับ-แนวต้าน
Moving Average สูตรคำนวณ
อินดิเคเตอร์ Moving Average คำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ การใช้ค่าเฉลี่ยตัวเดียวมาคำนวณไม่สามารถทำได้ ดังนั้น สูตร Moving Average จึงคำนวณค่าเฉลี่ยราคาออกมาหลายตัว และแสดงออกมาเป็นกราฟเส้น ซึ่งในการใช้จริงเส้น MA จะปรากฏควบคู่กับกราฟ
ตัวอย่างการคำนวณ Moving Average แบบง่าย
วันที่ | ราคาปิดของสินทรัพย์ |
1 | 20.85 |
2 | 21.15 |
3 | 22.06 |
4 | 20.00 |
5 | 23.58 |
จากตารางตัวอย่าง เราจะใช้สูตร Moving Average (MA) 5 วัน โดยหลักการวิเคราะห์ คือ นำราคาทั้งหมดมารวมกัน จากนั้นหารด้วยจำนวนวัน ดังนี้
(20.85 + 21.15 + 22.06 +20.00 +23.58) / 5 = 21.53
ดังนั้น ค่า MA ที่ได้จะเท่ากับ 21.53 ซึ่งการคำนวณแบบใช้ค่าเฉลี่ย เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดความผันผวนของราคาได้ดีมากขึ้น
Moving Average มีกี่แบบ? ค่าเฉลี่ยประเภทไหนแม่นที่สุด?
เส้น Moving Average (MA) ที่เทรดเดอร์นิยมใช้สามารถแบ่งออกเป็น 2 เส้น ได้แก่ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ซึ่งมีรูปแบบการคำนวณและการเลือกใช้ที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

1. Simple Moving Average หรือ เส้น SMA คืออะไร?
SMA คือ เส้นที่ใช้ราคาจากอดีตมาหาค่าเฉลี่ย ซึ่ง SMA ย่อมาจาก Simple Moving Average โดยหลักการคำนวณของ SMA จะให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในแต่ละวันเท่ากัน ดังนั้น SMA จึงให้สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ช้ากว่า EMA
2. Exponential Moving Average หรือ เส้น EMA คืออะไร?
EMA คือ เส้นที่ใช้ราคาจากอดีตมาหาค่าเฉลี่ยเช่นเดียวกับ SMA ซึ่ง EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average แต่มีข้อแตกต่างที่หลักการคำนวณ เนื่องจาก EMA จะให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในวันล่าสุดมากกว่า ดังนั้น EMA จึงให้สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่เร็วกว่า SMA
SMA กับ EMA ต่างกันอย่างไร?
ประเภท Moving Average | Simple Moving Average (SMA) | Exponential Moving Average (EMA) |
การคำนวณ | ให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในแต่ละวันเท่ากัน | ให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในวันล่าสุด |
การให้สัญญาณ | ช้า | เร็ว |
ข้อจำกัด | เกิดสัญญาณหลอกน้อย | เกิดสัญญาณหลอกมาก |
คำถามที่มักเกิดขึ้นบ่อยกับเทรดเดอร์มือใหม่ในการใช้ Moving Average Indicator คือ “เส้น SMA ต่างจากเส้น EMA อย่างไร” จากตารางจะเห็นได้ว่า เส้น EMA จะให้สัญญาณที่เร็วกว่าเส้น SMA หรือ EMA ตอบสนองต่อราคาได้ดีกว่านั่นเอง อธิบายง่าย ๆ เมื่อกราฟราคามีการปรับตัวขึ้นหรือลง เส้น EMA จะสามารถปรับตัวไปตามราคาได้ก่อนเส้น SMA
อย่างไรก็ตาม เส้น EMA มีข้อดีก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เนื่องจากการปรับตัวที่รวดเร็วส่งผลให้อาจเกิดสัญญาณหลอกได้มากกว่า ในทางกลับกัน การใช้เส้น SMA ในการวิเคราะห์มักจะเกิดสัญญาณหลอกได้น้อยกว่าเส้น EMA
ดังนั้น การเลือกใช้เส้น Moving Average Indicator จึงขึ้นอยู่กับความถนัดและกลยุทธ์ของแต่ละบุคคล รวมถึง Time Frame และระยะเวลาในการลงทุน นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ร่วมกันในการวิเคราะห์ได้อีกด้วย
Moving Average ตั้งค่าอย่างไรดีที่สุด?
โดยทั่วไป Moving Average ตั้งค่าจากความถนัด และเงื่อนไขการลงทุนของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละคนจะมีเทคนิคการเลือกใช้เส้น (SMA,EMA) และช่วงเวลา (Period) ที่ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เส้น EMA และเส้น SMA มีความคล้ายกันค่อนข้างมาก ดังนั้น เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงตั้งค่า Moving Average โดยแบ่งจากระยะเวลาการลงทุน ได้แก่ ระยะสั้น, ระยะกลาง และระยะยาว ว่าควรเลือก Period ใดมาใช้ในการวิเคราะห์

จากภาพแสดงการตั้งค่า Moving Average โดยใช้เส้น EMA(9) ซึ่งคุณสามารถใช้อินดิเคเตอร์ Moving Average ตั้งค่า Period ของเส้น MA ต่าง ๆ ได้ในโปรแกรมเทรด MT4 และ MT5 หรือ Tradingview โดยจะอยู่ในช่อง “Period” ดังภาพ
1. การตั้งค่า Moving Average สำหรับการลงทุนระยะสั้น
ค่า MA สำหรับการลงทุนระยะสั้น นิยมใช้อยู่ที่ 5-10 วัน หรือ 20-25 วัน การเพิ่มจำนวน Period จะช่วยลดความผันผวนและทำให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งค่า Moving Average นี้เหมาะกับการเทรดแบบ Day Trading และ Scalping
2. การตั้งค่า Moving Average สำหรับการลงทุนระยะกลาง
ค่า MA สำหรับการลงทุนระยะกลาง นิยมใช้อยู่ที่ 50 วัน 75 วัน และ 100 วัน ซึ่งจะใช้ Period มากกว่าระยะสั้น เพื่อหาแนวโน้มหลัก ซึ่งค่า Moving Average นี้เหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following
3. การตั้งค่า Moving Average สำหรับการลงทุนระยะยาว
ค่า MA สำหรับการลงทุนระยะยาว นิยมใช้อยู่ที่ 200 วัน เนื่องจากต้องใช้ Timeframe 1 ปี (1 Year) เพื่อหาแนวโน้มหลักที่ชัดเจนที่สุด
ค่า Moving Average ที่นิยมใช้ (EMA)
จากที่กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า ค่า Moving Average ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ตั้งค่า สามารถแบ่งออกได้เป็นการลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะกลาง และการลงทุนระยะยาว ซึ่งจะมีค่า SMA และ EMA ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับหัวข้อนี้ Traderbobo ขอพูดถึงค่า Moving Average ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย นั่นคือ Exponential Moving Average หรือ EMA เนื่องจากให้สัญญาณที่เร็ว ทำให้เป็นจุดเด่นที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้ จากนั้นใช้ Indicator อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อยืนยันสัญญาณและป้องกันสัญญาณหลอก
ตั้งค่าเส้น EMA ที่นิยมใช้ คือ 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน, 25 วัน, 40 วัน, 50 วัน, 75 วัน และ 200 วัน หากสังเกตดูดี ๆ ค่าเฉลี่ยเหล่านี้เป็นจำนวนในรอบสัปดาห์ เดือน และไตรมาส โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
เส้น EMA ที่นิยมใช้ใน Forex
- เส้น EMA(5) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ หรือ 1 สัปดาห์
- เส้น EMA(10) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วันทำการ หรือ 2 สัปดาห์ หรือ ประมาณครึ่งเดือน
- เส้น EMA(20) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 วันทำการ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 1 เดือน
- เส้น EMA(25) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วันทำการ หรือ ประมาณ 1 เดือน
- เส้น EMA(40) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 40 วันทำการ หรือ 8 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 2 เดือน
- เส้น EMA(50) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 50 วันทำการ หรือ ประมาณ 2 เดือน
- เส้น EMA(75) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 75 วันทำการ หรือ ประมาณ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส
- เส้น EMA(200) = การคำนวณค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขกลม ๆ ของจำนวนวันประมาณ 10 เดือน หรือ 3 ไตรมาส
ความแตกต่างของค่า Moving Average (MA) คืออะไร?
จำนวนวัน (Period) | ความแตกต่าง |
Period น้อย | ▪ เห็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้เร็ว ▪ ให้สัญญาณเข้าซื้อและขายเร็ว ▪ มีความผันผวนสูง ▪ อาจเกิด Noise (ตัวรบกวน) |
Period มาก | ▪ เห็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้ช้าลง ▪ ให้สัญญาณเข้าซื้อและขายช้า ▪ มีความผันผวนน้อยลง ▪ อาจเกิด Noise (ตัวรบกวน) น้อยลง |
วิธีใช้ Moving Average มีหลักการอย่างไร? ใช้อย่างไร?
การใช้ Moving Average Indicator เพื่อวิเคราะห์ในการเทรด สามารถแบ่งออกเป็น 4 วิธีหลัก ดังนี้
- ดูแนวโน้มจากความชัน (Slope) ของเส้น Moving Average
- ดูแนวโน้มจากการตัดกัน (Crossover) ของเส้น Moving Average
- ใช้เส้น Moving Average เป็นแนวรับ-แนวต้าน
- หาจุดเข้าซื้อ-ขาย
1. วิธีใช้ Moving Average (MA) ดูแนวโน้มจากความชัน
การดูแนวโน้มด้วยความชันของเส้น Moving Average คือ หลักการใช้ที่ง่ายที่สุดสำหรับอินดิเคเตอร์ตัวนี้ โดยคุณสามารถเลือกใช้เส้น MA เส้นเดียว หรือ 2 เส้นก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกใช้ได้ทั้งเส้น SMA หรือ EMA ตามเงื่อนไขการลงทุนของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นหลักการจำง่าย ๆ ดังนี้
🐶 เทคนิคการดู | ความหมาย |
เส้น MA ชี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาอยู่บนเส้น MA | มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) |
เส้น MA ชี้ลงอย่างต่อเนื่อง และราคาอยู่ใต้เส้น MA | มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) |

*หมายเหตุ: สำหรับการดูแนวโน้มจาก Slope ของเส้น MA คุณสามารถใช้เส้น MA 1 เส้น หรือ 2 เส้นก็ได้ และสามารถใช้ได้ทั้งเส้น EMA และเส้น SMA หรือใช้ควบคู่กัน โดยขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ เงื่อนไขการลงทุน และความถนัดของแต่ละบุคคล
2. วิธีใช้ Moving Average (MA) ดูแนวโน้มจาก Crossover
การตัดกัน (Crossover) ของเส้น Moving Average เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถดูแนวโน้มของราคาได้ โดยทั่วไปจะนิยมใช้เส้น MA ประเภทเดียวกันทั้ง 2 เส้น แต่ก็สามารถใช้ทั้งเส้น SMA และ EMA ตัดกันได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล โดยเราจะให้ความสำคัญที่การกำหนด Period ของแต่ละเส้น ซึ่งต้องมีทั้งเส้น Period น้อย และเส้น Period มาก ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นหลักการจำง่าย ๆ ดังนี้
🐶 เทคนิคการดู | ความหมาย |
Period น้อย ตัด Period มาก ขึ้นไป | มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) |
Period น้อย ตัด Period มาก ลงมา | มีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend) |

*หมายเหตุ: สำหรับการใช้ Crossover ของ Moving Average นอกจากการดูแนวโน้ม ประโยชน์ของการตัดกันมีอีกอย่างหนึ่ง คือ หาจุดเข้าซื้อ-ขาย ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป
3. วิธีใช้ Moving Average (MA) หาจุดเข้าซื้อ-ขายจาก Crossover
การหาจุดเข้าซื้อ-ขายจากการตัดกันของเส้น Moving Average จะใช้หลักการเดียวกับหัวข้อก่อนหน้านี้ โดยจำเป็นต้องมีทั้งเส้น Period น้อย และเส้น Period มาก ซึ่งมีเทคนิคง่าย ๆ ในการหาจุดเข้าซื้อ-ขาย ดังนี้
🐶 เทคนิคการดู | ความหมาย |
Period น้อย ตัด Period มาก ขึ้นไป | เปิดออเดอร์ Buy มีโอกาสทำกำไรมากกว่า |
Period น้อย ตัด Period มาก ลงมา | เปิดออเดอร์ Sell มีโอกาสทำกำไรมากกว่า |

*หมายเหตุ: สำหรับการหาจุดเข้าซื้อ-ขาย จากการตัดกันของเส้น MA โดยทั่วไปจะนิยมใช้เส้น Moving Average ประเภทเดียวกันทั้ง 2 เส้น แต่ก็สามารถใช้ทั้งเส้น SMA และ EMA ตัดกันได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ เงื่อนไขการลงทุน และความถนัดของแต่ละบุคคล
4. วิธีใช้ Moving Average (MA) เป็นแนวรับ-แนวต้าน และหาจุดเข้าซื้อ-ขาย
แนวรับ-แนวต้าน เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจอันดับแรกในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ให้มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราขออธิบายความหมายของทั้ง 2 คำนี้ก่อน เพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น
- แนวรับ (Support) คือ การที่ราคาปรับตัวลงในระดับหนึ่งจนเกิดแรงจูงใจในการเข้าซื้อ
- แนวต้าน (Resistance) คือ การที่ราคาปรับตัวขึ้นในระดับหนึ่งจนเกิดแรงจูงใจในการขายออก
การใช้เส้น MA เป็นแนวรับ-แนวต้าน ทำให้คุณสามารถกำหนดแนวรับ-แนวต้านได้ง่ายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอาจเป็นสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญเมื่อราคาวิ่งมาทดสอบกับเส้น MA หากกรณีนี้เกิดขึ้นคุณสามารถหาจุดเข้าซื้อและขายจากสัญญาณการกลับตัวได้ โดยมีเทคนิคง่าย ๆ ดังนี้
🐶 เทคนิคการดู | ความหมาย |
ราคาวิ่งขึ้นทะลุเส้น MA ที่เป็นแนวต้าน | เปิดออเดอร์ Buy มีโอกาสทำกำไรมากกว่า |
ราคาวิ่งลงหลุดเส้น MA ที่เป็นแนวรับ | เปิดออเดอร์ Sell มีโอกาสทำกำไรมากกว่า |

*หมายเหตุ: สำหรับการใช้เส้น MA เป็นแนวรับ-แนวต้าน เราจะใช้เส้น MA 1 เส้น ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เส้น SMA หรือ EMA โดยขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ เงื่อนไขการลงทุน และความถนัดของแต่ละบุคคล
📌ข้อจำกัด: อินดิเคเตอร์ Moving Average เป็นอินดิเคเตอร์ที่คาดการณ์แนวโน้มจากการเกิดขึ้นของราคาในอดีต ดังนั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาใช้อินดิเคเตอร์และเครื่องมืออื่นร่วมกับ Moving Average เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการใช้งานครับ
ใช้ Moving Average ควบคู่กับอินดิเคเตอร์ไหนดี?
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า Moving Average จะสามารถให้สัญญาณที่แม่นยำขึ้นได้ หากเทรดเดอร์ใช้ร่วมกับเครื่องมือการวิเคราะห์อื่น ๆ วันนี้ทางทีมงาน Traderbobo จึงขอนำเสนอสูตรผสมที่ลงตัวของอินดิเคเตอร์ Moving Average คือ การใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ RSI และ MACD
ข้อดี | เหมาะกับใคร? | |
EMA 20 + EMA 50 + RSI 14 | ช่วยกรองจังหวะเข้า-ออกออเดอร์ในช่วงสั้น ๆ | เทรดเดอร์สายDay Trade และ Scalping |
EMA 50 + EMA 200 + MACD | ช่วยยืนยันสัญญาณของเทรนด์ใหญ่ ๆ | เทรดเดอร์สายSwing Trade |
การใช้ Moving Average ร่วมกับ RSI

จากภาพเป็นการใช้อินดิเคเตอร์ Moving Average แบบ EMA 2 เส้น เพื่อดูแนวโน้มระยะสั้นและระยะกลาง ประกอบกับการใช้อินดิเคเตอร์ RSI เพื่อวัดความแรงของสัญญาณซื้อและขาย รวมถึงกรองสัญญาณหลอก
วิธีตั้งค่าอินดิเคเตอร์
- อินดิเคเตอร์ตัวที่ 1 (เส้นสีส้ม) EMA20
- อินดิเคเตอร์ตัวที่ 2 (เส้นสีดำ) EMA50
- อินดิเคเตอร์ตัวที่ 3 (เส้นสีฟ้า) RSI14
วิธียืนยันความแข็งแกร่งของโมเมนตัมด้วย RSI
อินดิเคเตอร์ RSI ใช้เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมบอกว่าแรงซื้อและแรงขายในตลาดในตอนนั้น มากเกินไปหรือน้อยเกินไป โดยคุณสามารถพิจารณาได้จากสัญญาณต่อไปนี้
- RSI อยู่เหนือ 70 = Overbought → อาจมีแรงขายทำให้ราคากลับตัวลง
- RSI อยู่ต่ำกว่า 30 = Oversold → อาจมีแรงซื้อเข้ามาทำให้ราคาดีดตัวขึ้น
- RSI อยู่ระหว่าง 50–70 = โมเมนตัมฝั่งซื้อยังคงแข็งแรง
- RSI อยู่ระหว่าง 30–50 = โมเมนตัมฝั่งขายยังคงอยู่
สัญญาณเข้าออเดอร์ Buy
- เมื่อ EMA20 (เส้นสีแดง) อยู่เหนือ EMA50 (เส้นสีดำ) และตำแหน่งของราคาเคลื่อนไหวอยู่เหนือเส้นทั้งสองเส้นจะแสดงถึงแนวโน้มหลักที่เป็นขาขึ้น
- RSI อยู่ในช่วง 50-70 เป็นตัวช่วยยืนยันว่า โมเมนตัมของฝั่งแรงซื้อยังคงแข็งแรง และยังไม่เลยจุด Overbought ทำให้บ่งบอกว่า ตลาดยังเป็นขาขึ้นปกติและแรงซื้อยังคงแข็งแรง
สัญญาณเข้าออเดอร์ Sell
- เมื่อ EMA20 (เส้นสีแดง) ตัดลงต่ำกว่า EMA50 (เส้นสีดำ) และตำแหน่งของราคาเคลื่อนไหวอยู่ใต้เส้นทั้งสองเส้นจะแสดงถึงแนวโน้มหลักที่เป็นขาลง
- RSI อยู่ต่ำกว่า 50 หมายความว่า แรงขายเริ่มเข้ามากดดันตลาดและยืนยันว่า โมเมนตัมยังคงอยู่ในฝั่งขาลง
การใช้ Moving Average ร่วมกับ MACD

จากภาพเป็นการสาธิตการใช้ Moving Average แบบ EMA 2 เส้น เพื่อดูแนวโน้มระยะกลางและแนวโน้มระยะยาว ร่วมกับการใช้อินดิเคเตอร์ MACD เพื่อดูความแข็งแกร่งของโมเมนตัม
วิธีตั้งค่าอินดิเคเตอร์
- อินดิเคเตอร์ตัวที่ 1 (เส้นสีดำ) EMA50
- อินดิเคเตอร์ตัวที่ 2 (เส้นสีแดง) EMA200
- อินดิเคเตอร์ตัวที่ 3 MACD ค่ามาตรฐาน (12,26,9)
วิธียืนยันความแข็งแกร่งของโมเมนตัมด้วย MACD
อินดิเคเตอร์ MACD จะเข้ามาช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของสัญญาณ โดยคุณสามารถสังเกตความแข็งแกร่งของสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ดังกล่าวได้ดังนี้
- ถ้า Histogram ขยายตัว (แท่งยาวขึ้น) = โมเมนตัมในทิศทางนั้นกำลังแข็งแกร่งขึ้น
- ถ้า Histogram หดตัว (แท่งสั้นลง) = โมเมนตัมเริ่มอ่อนแรงลง
- ตำแหน่งของ Histogram หากอยู่เหนือเส้นศูนย์ = โมเมนตัมฝั่งขาขึ้น
- ตำแหน่งของ Histogram หากอยู่ใต้เส้นศูนย์ = โมเมนตัมฝั่งขาลง
สัญญาณเข้าออเดอร์ Buy
- เส้น EMA50 อยู่เหนือ EMA200 และราคาส่วนใหญ่เคลื่อนตัวอยู่เหนือ EMA ทั้งสองเส้นบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้น
- อินดิเคเตอร์ MACD อยู่เหนือเส้นศูนย์ และ Histogram ขยายขึ้นสูงถือเป็นการยืนยันว่า โมเมนตัมขาขึ้นแข็งแกร่ง
สัญญาณเข้าออเดอร์ Sell
- เส้น EMA50 อยู่ต่ำกว่า EMA200 และราคาส่วนใหญ่เคลื่อนตัวอยู่ใต้ EMA ทั้งสองบ่งบอกถึงแนวโน้มขาลง
- อินดิเคเตอร์ MACD อยู่เหนือเส้นศูนย์ และ Histogram ขยายตัวลงต่ำ เป็นเครื่องยืนยันว่า โมเมนตัมขาลงมีความแข็งแกร่ง
📢 Traderbobo แนะนำ
เพิ่มประสิทธิภาพการเทรดของคุณผ่านการศึกษาการใช้งานอินดิเคเตอร์ต่าง ๆ ที่ทีมงาน Traderbobo รวบรวมมาไว้ให้แล้วที่นี่ 👇
สรุป Moving Average คืออะไร?
Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ในการวิเคราะห์ ช่วยในการดูแนวโน้ม, หาจุดเข้าซื้อ-ขาย รวมถึงสามารถใช้เป็นแนวรับและแนวต้านได้อีกด้วย โดยเส้น MA จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ SMA และ EMA ซึ่งจะมีรูปแบบการใช้และการคำนวณที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ การใช้ Moving Average Indicator มีเทคนิคและหลักการจำที่ง่าย ทำให้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่ อีกทั้งยังเป็นอินดิเคเตอร์พื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจก่อนลงสนามเทรดจริง
อย่างไรก็ตาม การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาพื้นฐานและปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์อย่างละเอียด และที่สำคัญการใช้อินดิเคเตอร์ 2 ตัวขึ้นไปในการวิเคราะห์จะช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้ครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Moving Average คืออะไร? MA คืออะไร?
1. Moving Average คืออะไร?
Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือเส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ โดยใช้ราคาปิดย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อตรวจสอบแนวรับและแนวต้าน ซึ่งจะแสดงผลออกมาผ่านเส้นเรียบ ทำให้ MA เป็นอินดิเคเตอร์ที่มีความเรียบง่าย และเป็นพื้นฐานในการใช้อินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ
2. MA คืออะไร?
MA ย่อมาจาก Moving Average คือ อินดิเคเตอร์ Forex ขั้นพื้นฐานแต่มีประสิทธิภาพสูง
3. เส้น EMA ที่นิยมใช้
เส้น EMA ที่นิยมใช้ คือ 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน, 25 วัน, 40 วัน, 50 วัน, 75 วัน และ 200 วัน
4. เส้น EMA คืออะไร?
EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average คือ เส้นที่ใช้ราคาจากอดีตมาหาค่าเฉลี่ย โดยให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในวันล่าสุดมากกว่า
5. Weighted Moving Average คืออะไร?
Weighted Moving Average (WMA) คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก โดยจะใส่ค่าน้ำหนักของข้อมูลแต่ละตัวที่นำมาคำนวณ WMA ตามลำดับความสำคัญ
6. ค่า Moving Average ที่นิยมใช้
ค่า Moving Average ที่นิยมใช้ คือ การตั้งค่า EMA 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน, 25 วัน, 40 วัน, 50 วัน, 75 วัน และ 200 วัน
7. วิธี Moving Average มีหลักการอย่างไร?
1. ดูแนวโน้มจากความชันของเส้น Moving Average
2. ดูแนวโน้มจากการตัดกัน (Crossover) ของเส้น Moving Average
3. ใช้เส้น Moving Average เป็นแนวรับ-แนวต้าน
4. หาจุดเข้าซื้อ-ขาย
8. Moving Average Convergence Divergence คืออะไร?
Moving Average Convergence Divergence หรือ MACD เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้ความแตกต่างของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบเอ็กซ์โพเนนเชียล (EMA) สองเส้น เพื่อวัดโมเมนตัมและแนวโน้มของตลาดในช่วงนั้น ๆ
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page