‘ รถยนต์ไฟฟ้า ‘ จะขึ้นราคาหรือไม่ ?
วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลกระทบในบ้านเราหลายอย่าง เเต่ที่เห็นได้ชัดเจนในตอนนี้ คือ ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ สาเหตุนี้จึงไปสะกิดใจใครหลายคนว่า ควรหันมาใช้ ‘รถยนต์ไฟฟ้า’ กันได้แล้วหรือไม่ เเต่ผลกระทบมันไม่ได้มีเเค่น้ำมันปรับขึ้นราคานะครับ ในส่วนของพลังงานหรือโลหะต่าง ๆ ก็ปรับตัวสูงขึ้นด้วยโดยเฉพาะ ‘เเร่ลิเธียม’ ซึ่งเเร่ลิเธียมเป็นส่วนประกอบสำคัญในการผลิตเเบตเตอรี่ของรถไฟฟ้า เเต่ ณ ตอนนี้ราคากลับสูงขึ้นถึง 6 เท่า เเบบนี้ต้นทุนการผลิตก็ต้องสูงขึ้นตามไปด้วย จากการประเมินผู้ประกอบการรถไฟฟ้าอาจต้องปรับราคาขึ้นราว 5-6 หมื่นบาทต่อคัน
ข้อมูล ณ วันที่ 8 มีนาคม ราคาของแร่ลิเธียมพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 493,500 หยวนต่อตัน หรือ 600% จากช่วงเดียวกันในปีก่อน ด้วยอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งต้นทุนแร่ลิเธียมที่เพิ่มขึ้นกระทบต่อทั้งอุตสาหกรรม ทำให้ต้นทุนของการผลิตแบตเตอรี่ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง (kWh) เพิ่มขึ้น และไม่ใช่เพียงแค่ลิเธียมเท่านั้น แต่วัตถุดิบอื่น ๆ ก็ปรับตัวขึ้นแทบทั้งสิ้น สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทผลิตรถยนต์จะผลักภาระต้นทุนมาที่ผู้บริโภคหรือไม่ โดยปกติเมื่อประกาศราคาขายออกไปแล้ว จะไม่มีการเปลี่ยนเเปลงราคาทีหลัง และผู้ผลิตจะเป็นผู้แบกต้นทุนที่เพิ่มขึ้นเอง
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
อมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ กล่าวว่า มี 2 ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้เเก่
1. อุปสงค์และอุปทานของแร่ลิเธียม
อุปสงค์และอุปทานของแร่ลิเธียม ซึ่งมีโอกาสที่จะเริ่มเห็นเหมืองลิเธียมเริ่มเปิดมากขึ้น หลังจากที่ผู้ผลิตรถยนต์แต่ละรายเริ่มหันมารุกยานยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว ในช่วงแรกอาจจะเห็นอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นเร็วกว่า และผลักให้ราคาขึ้นแรง แต่หลังจากนั้นราคาจะเริ่มปรับตัวลงมา แต่คงจะไม่ลงไปถึงระดับต่ำในช่วงก่อนหน้านี้
2. สถานการณ์ระหว่างรัสเซียและยูเครน
สถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งผลักให้ราคาแร่ต่าง ๆ เพิ่มขึ้นทั้งหมดไม่ใช่แค่ลิเธียม เเเต่รวมถึงสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายราคาก็น่าจะปรับลงตาม
นอกจากนี้เรื่องของการพัฒนาเทคโนโลยีของ EV กับรถยนต์ดั้งเดิม เชื่อว่าฝั่งของ EV ยังสามารถพัฒนาไปได้อีกมาก โดยเฉพาะเรื่องของเทคโนโลยีแบตเตอรี่ เช่น ความรวดเร็วในการชาร์จ การกักเก็บพลังงาน และราคาที่ถูกลง ขณะเดียวกันการสนับสนุนจากภาครัฐก็เริ่มเพิ่มขึ้น เช่น ภาษี ซึ่งการเก็บภาษีในส่วนของรถยนต์ดั้งเดิมที่อาจจะสูงขึ้น โดยอิงจากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
✅ อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าปีนี้ความชัดเจนในตลาด EV จะมีมากและมีโอกาสเติบโตสูง ในขณะเดียวกันรถยนต์ดั้งเดิมคงจะไม่ได้หายไปทันที แต่อัตราเร่งระหว่างการเติบโตของ EV และการลดลงของรถยนต์ดั้งเดิมจะมากขึ้นเช่นกัน EV จะเข้ามาเเทรกซึมในชีวิตเราเรื่อย ๆ อย่างเเน่นอนครับ
Source: Foley และ Tradewithauntie