
การเข้าใจจังหวะ Buy Sell ควบคู่กับการวิเคราะห์แนวโน้มและบริหารความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญของการทำกำไร แล้วหลักการที่ว่าคืออะไร? มาเจาะลึกกันครับ 🤔💨
Buy Sell คือ คำสั่งพื้นฐานที่เทรดเดอร์ทุกคนต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะถือเป็นรากฐานสำคัญสู่การทำกำไร และหากพลาดแม้แต่น้อย อาจนำไปสู่การขาดทุนได้ ดังนั้น ทุกประเด็นในบทความนี้จึงมีความเชื่อมโยงกันและค่อนข้างสำคัญอย่างมาก พี่โบ้จึงไม่อยากให้คุณพลาดจุดไหนเลยสักประเด็น ถ้าพร้อมที่จะเปิดประตูสู่โลกแห่งความรู้ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องของ “Buy Sell” แล้ว ตามพี่โบ้มาอ่านบทความนี้กันได้เลยครับ!
*หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อมีจุดประสงค์ในการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด การลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์มีความเสี่ยงสูงนักลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนเริ่มทำการลงทุน
คำสั่ง Buy Sell ในตลาด Forex คืออะไร?

คำสั่ง Buy (Long) และ Sell (Short) ถือเป็นคำสั่งซื้อขายพื้นฐานที่เทรดเดอร์คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี โดยทั้งสองคำสั่งจะมีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ เพราะอย่างที่รู้กันดีว่า การลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลงครับ
คำสั่ง Buy (Long) คืออะไร?
คำสั่ง Buy หรือ Long คือ การที่เทรดเดอร์ส่งคำสั่ง “ซื้อ” ไปยังโบรกเกอร์ โดยปกติแล้วเวลาเราเลือกทำกำไรจากการลงทุนในสิ่งใดสิ่งหนึ่งเราต้องทำกำไรจากส่วนต่างของราคาของสิ่งนั้นใช่ไหมครับ การ Buy เองก็ใช้หลักการเดียวกันคือ “เปิด Buy ตอนที่คิดว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นและทำกำไร โดยการเปิดออเดอร์ Sell เมื่อราคาวิ่งขึ้นไป” นั่นเองครับ
การทำงานของคำสั่ง Buy (Long)
หลักการทำงานของคำสั่ง Buy (Long) คือ การซื้อสกุลเงินหลัก (Base Currency) โดยจ่ายด้วยสกุลเงินรอง (Quote Currency) โดยคาดหวังว่าคู่เงินหลักจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินรอง
ตัวอย่าง พี่โบ้เปิดออเดอร์ Buy (Long) ในคู่สกุลเงิน EURUSD ที่ราคา 1.1250 เพราะคาดการณ์แล้วว่า ราคาของสกุลเงิน EUR (ยูโร) จะปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยบางอย่าง และหากราคาเกิดการเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งพี่โบ้จะได้รับผลกระทบ ดังนี้
- หากราคาของ EURUSD ปรับตัวขึ้นไปที่ 1.1300 และพี่โบ้ปิดออเดอร์ Buy (ส่งคำสั่ง Sell) พี่โบ้จะได้รับกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในจำนวน 50 pips
- หากราคา EURUSD ปรับตัวลงต่ำกว่า 1.1250 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เปิด Buy พี่โบ้ก็จะขาดทุนทันทีครับ
คำสั่ง Sell (Short) คืออะไร?
คำสั่ง Sell หรือ Short คือ การส่งคำสั่ง “ขาย” เพื่อคาดหวังจะทำกำไรจากราคาที่อ่อนค่าลง ซึ่งจะสวนทางกันกับการออกคำสั่ง Buy เพราะการออกคำสั่ง Sell จะสร้างกำไรให้คุณได้ก็ต่อเมื่อราคาอ่อนค่าลงจากตำแหน่งที่คุณเปิดออเดอร์อยู่ครับ
การทำงานของคำสั่ง Sell (Short)
หลักการทำงานของ Sell (Short) คือ การขายคู่สกุลเงินหลัก (Base Currency) เพื่อซื้อคู่สกุลเงินรอง (Quote Currency) โดยคาดหวังว่าคู่สกุลเงินหลักจะมีมูลค่าลดลงเมื่อเทียบกับคู่สกุลเงินรอง
ตัวอย่าง พี่โบ้เปิดออเดอร์ Sell (Short) คู่เงิน EURUSD ที่ราคา 1.2500 เพื่อหวังจะทำกำไรจากการอ่อนค่าลงของสกุลเงิน และหากราคาเกิดความเคลื่อนไหวไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่งพี่โบ้จะได้รับผลกระทบ ดังนี้
- เมื่อพี่โบ้สังเกตเห็นราคาของ EURUSD ลดลงมาที่ตำแหน่ง 1.2490 พี่โบ้จึงปิดออเดอร์ Sell ทำให้พี่โบ้ได้กำไรจากการเคลื่อนตัวลงของราคาจำนวน 10 pips
- ในทางกลับกันหากราคาของคู่เงิน EURUSD ปรับตัวขึ้นจากเดิม 10 pips หรือ 1.2510 พี่โบ้ก็จะขาดทุนจากการเคลื่อนตัวของราคาเช่นกัน
ซึ่งคำสั่ง Buy Sell ก็สามารถแบ่งออกไปได้หลายประเภทด้วยกัน ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และรูปแบบของการใช้งานครับ
3 ประเภทคำสั่ง Buy Sell ที่พบบ่อยในตลาด Forex
คำสั่ง Buy Sell ที่พบบ่อยในตลาด Forex จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ประเภท หลัก ๆ ตามรูปแบบของการทำงานของคำสั่งซื้อขาย ดังนี้
- Market Orders (คำสั่งซื้อขายทันที) คือ คำสั่งที่เราดำเนินการทันทีเมื่อเห็นว่าราคา ณ ตอนนั้น คือราคาที่ดีที่สุด
- Pending Orders (คำสั่งซื้อขายล่วงหน้า) คือ คำสั่งซื้อขายที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อคาดหวังให้ได้ราคาที่ดีกว่า ซึ่งคำสั่งประเภทนี้มักจะถูกตั้งไว้ ณ จุดที่ต่ำกว่าหรือสูงกว่าราคาตลาด ณ ปัจจุบัน และคำสั่งนี้จะถูกดำเนินการเมื่อราคาตลาดลดลงหรือปรับตัวสูงขึ้นจนถึงระดับที่เราตั้งไว้ครับ
- Stop Orders (คำสั่งหยุด) คือ คำสั่งซื้อขายที่จะเริ่มทำงานอัตโนมัติ เมื่อราคาของสินทรัพย์เคลื่อนไปถึงระดับราคาที่คุณกำหนดไว้ล่วงหน้า และเมื่อราคาในตลาดมาถึงจุดที่ตั้งไว้ คำสั่ง Stop จะเปลี่ยนเป็นคำสั่งซื้อขายจริงทันที เพื่อให้เทรดเดอร์สามารถซื้อขายได้ตามแผนที่วางไว้
📢 Traderbobo แนะนำ
เปิดโลกการเรียนรู้! บทความรวมคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex ที่เป็นประโยชน์แก่เทรดเดอร์ สรุปทุกประเภทคำสั่งซื้อขายในตลาด Forex ที่คุณควรรู้ ได้ที่นี่👇📈
Sell กับ Buy ต่างกันอย่างไรในตลาด Forex?
คำสั่ง | ความหมาย | สถานการณ์ที่ควรใช้ |
Buy (Long) | ซื้อ | ใช้เมื่อคาดว่าราคาจะปรับตัวขึ้น |
Sell (Short) | ขาย | ใช้เมื่อคาดว่าราคาจะปรับตัวลง |
แน่นอนว่า คำสั่ง Buy Sell ไม่ได้ใช้เพียงแค่ในตลาด Forex ครับ แท้จริงแล้วมันยังถูกนำมาใช้ร่วมกับตลาดอื่น ๆ อีกหลายประเภทด้วยกัน ทั้งในตลาดหุ้น ทองคำ ETF และการลงทุนประเภทอื่น ๆ ด้วยครับ
Buy Sell ทองคืออะไร?
การ Buy Sell ทองคำ คือ การเปิดออเดอร์ Buy และ Sell เพื่อทำกำไรจากความเคลื่อนไหวและส่วนต่างของราคาทองคำ โดยช่องทางการลงทุนหรือซื้อขายทองคำที่คุณสามารถทำได้มีดังนี้
- การซื้อขายทองคำผ่านตลาดอนุพันธ์ Gold Futures และ Gold Options
- การซื้อขายกองทุนหรือ ETF ทองคำ
- การซื้อขายทองคำผ่านโบรกเกอร์
🐶🪙 รู้หรือไม่… อีกหนึ่งทางเลือกที่ง่ายสำหรับการลงทุนทองคำคือ การลงทุนทางตรง หรือการซื้อทองที่ร้านเพื่อรอขายทำกำไรเมื่อราคาสูงขึ้น แม้อาจจะฟังดูเหมือนง่าย แต่กลับไม่สะดวกและมีความเสี่ยงสูง ทั้งเรื่องการสูญหาย, ถูกโจรกรรม, และยังมีค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บ ทำให้การลงทุนรูปแบบนี้ไม่เหมาะกับนักลงทุนบางกลุ่มครับ
ความสัมพันธ์ของ Buy Sell และ Pip Point
Pip และ Point เป็นหน่วยวัดความเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex โดย Pip จะเป็นการวัดความเคลื่อนไหวของราคาของทศนิยมตำแหน่งที่ 4 ในคู่เงินทั่วไปและเป็นทศนิยมตำแหน่งที่ 2 ในคู่เงินเยน (JPY) ส่วน Point จะเป็นหน่วยวัดความเคลื่อนไหวของราคาในตำแหน่งที่ 5 และเป็นทศนิยมตำแหน่งที่ 3 ในคู่เงินเยน (JPY) ครับ โดยพี่โบ้จะขออธิบายความเคลื่อนไหวของ Pip Point ที่ส่งผลต่อการเปิดออเดอร์ Buy Sell ดังนี้
- เมื่อเปิดออเดอร์ Buy (Long)
- หากราคาปรับตัวขึ้น ⮕ จำนวน Pip ปรับขึ้นไป จะถือว่าคุณได้ กำไร
- หากราคาปรับตัวลง ⮕ จำนวน Pip ปรับลดลงมา จะถือว่าคุณ ขาดทุน
- เมื่อเปิดออเดอร์ Sell (Short)
- หากราคาปรับตัวลง ⮕ จำนวน Pip ของราคาลดลงมา จะถือว่าคุณได้ กำไร
- หากราคาปรับตัวขึ้น ⮕ จำนวน Pip ของราคาเคลื่อนขึ้นไป จะถือว่าคุณ ขาดทุน
นอกจากนี้ Pip และ Point ยังเป็นส่วนสำคัญที่เทรดเดอร์ใช้ในการกำหนดจุด Take Profit และ Stop Loss รวมถึงคำนวณขนาด Lot Size เพื่อบริหารความเสี่ยงและวางแผนการเทรดให้เกิดประสิทธิภาพอีกด้วยครับ
สุดยอดทริคจับจังหวะวิธีดูว่าจะ Sell หรือ Buy
วิธีดูว่าจะ Sell หรือ Buy จุดไหนดี ในตลาด Forex สามารถทำได้หลากหลายวิธีทั้งในรูปแบบของการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐาน ดังนี้
การมองหา Trend เพื่อจับจังหวะ

โดยทั่วไปแล้วการใช้ Trend เพื่อระบุแนวโน้มหาจุดเข้า Buy Sell ถือเป็นวิธีเบื้องต้นที่เทรดเดอร์มักจะใช้กัน โดยพี่โบ้ของอธิบายวิธีการใช้ Trend ดังนี้
1. มองภาพรวมของเทรนจากการใช้ Time Frame
- เลือกใช้ Time Frame ระยะยาว เช่น รายสัปดาห์หรือรายเดือน เพื่อมองหาภาพรวมของเทรน
2. มองหา Trend เพื่อเข้า Buy Sell
- จุดสังเกตเทรนขาขึ้น คือ จุด Higher Highs และ Higher Lows จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จะเปิดออเดอร์ Buy
- จุดสังเกตเทรนขาลง คือ จุด Lower Highs และ Lower Lows มักจะต่ำลงเรื่อย ๆ ซึ่งจะเหมาะแก่การเปิดออเดอร์ Sell เพื่อทำกำไร
การใช้ Indicator ยืนยันสัญญาณที่เหมาะสม

การใช้เครื่องมือทางเทคนิคช่วยยืนยันแนวโน้มตลาด ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการที่เทรดเดอร์นิยมใช้เช่นเดียวกันครับ โดยเครื่องมือทางเทคนิคที่พี่โบ้จะหยิบยกมา คือ อินดิเคเตอร์ RSI ซึ่งจะมีรูปแบบในการนำมาใช้ ดังนี้
1. ทำความรู้จักรายละเอียดภายในกราฟ
- เส้นสีม่วง คือ เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้น
- เส้นสีเหลือง คือ เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว
- พื้นที่สีเขียว คือ โซน Overbought โซนที่ค่า RSI อยู่สูงกว่า 70
- พื้นที่สีแดง คือ โซน Oversold โซนที่ค่า RSI อยู่ต่ำกว่า 30
2. มองหาสัญญาณในการเข้า Buy Sell จากเส้น RSI
- เมื่อ RSI เข้าสู่โซน Oversold (ต่ำกว่า 30) แล้วเริ่มกลับตัวขึ้น มักเป็นสัญญาณ Buy
- เมื่อ RSI เข้าสู่โซน Overbought (สูงกว่า 70) แล้วเริ่มกลับตัวลง มักเป็นสัญญาณ Sell
3. สังเกตการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นและระยะยาว
- เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดขึ้นเหนือเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (Golden Cross) เป็นจังหวะที่เหมาะแก่การ Buy
- เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงใต้เส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (Death Cross) เป็นจังหวะที่เหมาะแก่การ Sell
การดูรูปแบบราคาหรือ Chart Patterns

รูปแบบราคามาจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นเดิม ๆ ซ้ำ ๆ ของนักลงทุน เมื่อเจอสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจและมักจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในตลาดฟอเร็กซ์ ซึ่งรูปแบบที่เหมาะแก่การเข้า Buy Sell จะมีดังนี้
1. รูปแบบราคาที่เหมาะแก่การเข้า Buy
- รูปแบบกลับตัวขาขึ้น (Bullish Reversal Patterns) เช่น Double Bottom, Inverse Head and Shoulders และ Bullish Engulfing
- รูปแบบต่อเนื่องขาขึ้น (Bullish Continuation Patterns) เช่น Bull Flag, Cup and Handle และ Ascending Triangle
2. รูปแบบราคาที่เหมาะแก่การเข้า Sell
- รูปแบบกลับตัวขาลง (Bearish Reversal Patterns) เช่น Double Top, Head and Shoulders และ Bearish Engulfing
- รูปแบบต่อเนื่องขาลง (Bearish Continuation Patterns) เช่น Bear Flag และ Descending Triangle
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน

สิ่งที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างที่ไม่ควรมองข้ามคือ ปัจจัยพื้นฐาน สิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณเข้าใจว่า “ทำไมราคาจึงเคลื่อนไหว” โดยปัจจัยพื้นฐานที่พี่โบ้อยากให้คุณติดตามมีดังนี้
1. ข่าวสำคัญที่ควรติดตาม
- ข่าวเศรษฐกิจ ข่าวสำคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย, การจ้างงาน, GDP และอัตราเงินเฟ้อ เพราะข่าวเหล่านี้มักมีผลกระทบอย่างมากต่อค่าเงิน
- เหตุการณ์ทางการเมือง ความไม่แน่นอนทางการเมือง หรือนโยบายรัฐบาลใหม่ ที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในสกุลเงิน
- ข่าวเกี่ยวกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่จะสะท้อนถึงมุมมองของประชาชนต่อเศรษฐกิจ ซึ่งอาจส่งผลต่อการใช้จ่ายและค่าเงิน
2. ประเมินผลกระทบของข่าวที่มีต่อตลาด
- ข่าวเศรษฐกิจที่เป็นบวกสำหรับประเทศนั้น ๆ เช่น ตัวเลขการจ้างงานสูงกว่าคาด, GDP เติบโตดี หรืออัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับขึ้น มักจะส่งผลดีต่อค่าเงิน หรือทำให้ค่าเงินมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้น (เหมาะแก่การเข้า Buy) ในทางตรงกันข้าม หากเป็นข่าวในเชิงลบ เช่น การว่างงานเพิ่มขึ้น, GDP ติดลบ หรืออัตราดอกเบี้ยลดลง มักจะทำให้เงินอ่อนค่าลง (เหมาะแก่การเข้า Sell)
- พิจารณาความรุนแรงของข่าว เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางมักจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อสกุลเงิน ในขณะเดียวกันที่ตัวเลขการค้าปลีกอาจมีผลกระทบต่อค่าเงินน้อยกว่า
เทคนิคการบริหารความเสี่ยงสำหรับการ Buy และ Sell
เทรดเดอร์คงรู้กันดีว่า ตลาด Forex มีความเสี่ยงและความผันผวนที่สูงมาก ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy Sell ก็ควรมีการบริหารความเสี่ยงด้วยเช่นกันพี่โบ้จึงขออธิบายเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยง ดังนี้
- ควบคุมอารมณ์ในการเทรดให้ดี
- ตั้งจุด Stop Loss และ Take Profit เสมอ
- กำหนดขนาดของ Position ในการเทรด
- หลีกเลี่ยงการใช้ Leverage ที่มากเกินพอดี
- ทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อตลาด Forex
สรุปเกี่ยวกับ Buy Sell คืออะไรในตลาด Forex
Buy Sell ถือเป็นคำสั่งซื้อในตลาด Forex ที่เทรดเดอร์จำเป็นต้องทำความเข้าใจให้ดี เพราะถือเป็นพื้นฐานอย่างแรกที่คุณจะต้องรู้หากอยากจะเริ่มต้นเทรด ซึ่งการเปิด Buy Sell จะขึ้นอยู่กับสถานการณ์และการเคลื่อนไหวของราคา ณ ขณะนั้น รวมถึงคำสั่ง Buy Sell ยังมีหลายรูปแบบ ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามการใช้งาน
โดยคำสั่ง Buy จะถูกเปิดเมื่อคาดว่า ราคาของคู่สกุลเงินจะสูงขึ้น และ Sell จะถูกเปิดเมื่อคาดว่า ราคาของคู่สกุลเงินจะลดลง โดยการหาจังหวะเข้า Buy หรือ Sell นั้นก็สามารถเลือกใช้เทคนิคเข้ามาช่วยได้หลายเทคนิคด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องมือทางเทคนิคอย่างอินดิเคเตอร์หรือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน อย่างไรก็ดี ความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่โชค แต่อยู่ที่การวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ, การติดตามข่าวสาร และอย่าลืมว่า หัวใจสำคัญของการลงทุนคือ การบริหารความเสี่ยงให้ดีและวางแผนการลงทุนอย่างรอบคอบนะครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Buy และ Sell
1. Short กับ Long คืออะไร?
Short คือ การขายคู่สกุลเงินครับหรือมีความหมายเดียวกันกับ Sell ส่วน Long เป็นการซื้อ ซึ่งแน่นอนว่าจะมีความหมายเดียวกันกับการ Buy ครับ
2. Buy Sell หุ้น คืออะไร?
Buy Sell ในตลาดหุ้นจะมีบริบทที่คล้ายคลึงกันกับตลาด Forex ครับแต่จะมีข้อแตกต่างเล็กน้อย ดังนี้
- Buy คือ การที่คุณใช้เงินเพื่อซื้อหุ้นของบริษัท โดยหวังทำกำไรจากราคาหุ้นที่จะปรับตัวสูงขึ้นในอนาคต
- Sell คือ การที่คุณนำหุ้นที่คุณถืออยู่ไปขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยหวังจะทำกำไรจากการที่ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นจากราคาที่คุณซื้อครับ
ซึ่งจะแตกต่างกับตลาด Forex คือ การ Sell ในตลาด Forex จะทำกำไรจากการปรับตัวลดลงของราคาคู่สกุลเงินครับ
3. Stop Loss และ Take Profit สำคัญแค่ไหนต่อการ Buy Sell?
Stop Loss และ Take Profit มีความสำคัญเป็นอย่างมากครับ เพราะทั้งสองเครื่องมือนี้ล้วนแต่เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่จะช่วยจัดการความเสี่ยงในการเทรด
4. ความเคลื่อนไหวของราคาในตลาด Forex เกี่ยวข้องกับการ Buy Sell หรือไม่?
มีความเกี่ยวข้องกันอย่างแน่นอนครับ หากแทนแรงซื้อคือ Buy และแรงขายคือ Sell ตามกฎอุปสงค์และอุปทาน โดยหากแรงซื้อ (Buy) มีมากกว่าแรงขาย ราคาก็จะสูงขึ้น กลับกันหากแรงขาย (Sell) มีมากกว่าแรงซื้อ ราคาในตลาดก็จะลดต่ำลงครับ
5. โบรกเกอร์มีบทบาทอย่างไรในการ Buy Sell?
โบรกเกอร์มีความสำคัญต่อการส่งคำสั่ง Buy Sell ครับ เพราะโบรกเกอร์ถือเป็นตัวกลางที่สามารถทำให้เทรดเดอร์เข้าถึงตลาด Forex และทำการซื้อขายได้ ดังนั้น เทรดเดอร์ควรพิจารณาเลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและมีความเสถียรในการส่งคำสั่งซื้อขายครับ
6. Buy Stop Sell Stop คืออะไร?
Buy Stop และ Sell Stop คือหนึ่งในคำสั่งซื้อแบบ Pending Order ครับ ซึ่ง Buy Stop จะเป็นคำสั่งซื้อเมื่อคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ Sell Stop จะเป็นคำสั่งขายเมื่อราคาลดลงถึงระดับที่กำหนดไว้ โดยที่คุณคาดว่าราคาจะลดลงต่อเนื่องไปอีกหลังจากนั้น
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page