
ตลาดกระทิง (Bullish) คือ แนวโน้มขาขึ้น และตลาดหมี (Bearish) สื่อถึงแนวโน้มขาลงในตลาดการลงทุน ซึ่งทั้งสองสภาวะตลาดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจ 🐻🐂
วันนี้พี่โบ้จะพาทุกคนไปทำความรู้จักตลาดหมีและตลาดกระทิง ซึ่งเป็นคำที่เทรดเดอร์หลายคนคงจะคุ้นเคยหรือรู้จักกันเป็นอย่างดี แล้วทั้งสองสภาวะตลาดมีความแตกต่างกันอย่างไร ใช้กลยุทธ์อะไร และมีข้อควรระวังอย่างไรบ้าง? บทความนี้จะพาคุณไปไขข้อสงสัยทั้งหมดที่กล่าวมา และพี่โบ้จะพาคุณไปทำความรู้จักสัตว์อื่น ๆ ที่ถูกนำมาใช้ในตลาดการลงทุนและสัตว์ชนิดไหนจะเป็นตัวแทนของอะไรบ้างมาหาคำตอบกันครับ!
*หมายเหตุ: บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษาการลงทุนให้ละเอียดก่อนเริ่มทำการลงทุน
ทำไมต้องทำความเข้าใจสภาวะตลาดหมีและตลาดกระทิง?
เหตุผลที่เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจตลาดหมีและตลาดกระทิง มีดังนี้
- ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้ดีขึ้น
- ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจจิตวิทยาการลงทุนของเทรดเดอร์ด้วยกันเอง
- ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถเลือกกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสมในแต่ละสภาวะตลาด
- เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ทำให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นโอกาสในการลงทุนได้ชัดเจนมากขึ้น
ที่มาของตลาดหมีและตลาดกระทิง

ตลาดหมี (Bearish) และตลาดกระทิง (Bullish) ถูกนำมาใช้เป็นชื่อเรียกแทนแนวโน้มของราคาสินทรัพย์ในแต่ละสภาวะตลาด โดยจะใช้พฤติกรรมของสัตว์ทั้งสอง เพื่อสื่อถึงแนวโน้มดังกล่าว
ตลาดหมี (Bearish) คืออะไร?

ตลาดหมี คือ ช่วงที่เทรดเดอร์ขาดความเชื่อมั่นในตลาดและพร้อมที่จะเทขายสินทรัพย์ตลอดเวลา ทำให้ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง สอดคล้องกับพฤติกรรมของหมี เมื่อเวลาต่อสู้จะใช้มือตะปบลงพื้นเปรียบเหมือนราคาของสินทรัพย์ที่ร่วงลงครับ
ลักษณะของตลาดหมี (Bearish)
คุณสามารถสังเกตลักษณะของตลาดหมีหรือ Bearish ได้ดังนี้
- ราคาสินทรัพย์ของช่วงนั้นจะปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ตลาดโดยรวมซบเซา
- ช่วงตลาดหมี เทรดเดอร์มักมีความเชื่อมั่นต่ำ ทำให้เกิดการเทขายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง
- สภาพเศรษฐกิจ ณ ช่วงตลาดหมีมักอยู่ในช่วงชะลอตัวและถดถอย
🐶💬 อีกหนึ่งทฤษฎีกล่าวว่า “ตลาดหมี” มีรากฐานมาจากสุภาษิตในศตวรรษที่ 18 ที่พูดถึง “Selling the bear’s skin before one has caught the bear” (ขายหนังหมีก่อนจับหมีได้) โดยช่วงนั้น Bearskin หรือหนังหมี หมายถึงสัญลักษณ์ของ “ผู้ที่ขายหุ้นล่วงหน้าด้วยความคาดหวังว่าราคาจะลดลง” นั่นเองครับ
รูปแบบกราฟของตลาดหมี (Bearish)
กราฟตลาดหมีจะมีลักษณะเด่น คือ แท่งเทียนราคาจะมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจนตามภาพ โดยคุณสามารถสังเกตโดยละเอียดได้ ดังนี้

แนวโน้มของราคา
- ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลงอย่างต่อเนื่อง
ลักษณะของตลาดหมี
- จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดอยู่ต่ำกว่าจุดก่อนหน้า (Lower Highs & Lower Lows)
- มีการ Rebound (กลับตัวขึ้น) บ้างเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำลายแนวโน้มที่เป็นขาลงได้
รูปแบบของแท่งเทียน
- ภาพรวมของแท่งเทียนสีแดงที่เป็น Bearish จะมากกว่าแท่งเทียนสีเขียวที่เป็น Bullish → แรงขายที่มีมากกว่าแรงซื้อ
ตลาดกระทิง (Bullish) คืออะไร?

ตลาดกระทิง คือ ช่วงที่เทรดเดอร์มาพร้อมกับความเชื่อมั่นที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ ตลาดกระทิงจึงเป็นชื่อเรียกแทนแนวโน้มขาขึ้นที่เกิดอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเหมือนแรงขวิดของกระทิง เพราะเมื่อกระทิงต่อสู้มักจะใช้เขาของมันขวิดขึ้นแรง ๆ และ Bullish จะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงด้วยกันครับ
วัฏจักรของตลาดกระทิง
วัฏจักรของตลาดกระทิงจะแบ่งออกเป็น 3 ช่วงตามทฤษฎีดาว (Dow Theory) ดังนี้
- ระยะสะสม (Accumulation Phase): ช่วงที่เทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์และข้อมูลเชิงลึกเริ่มเข้าซื้อสินทรัพย์
- ระยะเข้าร่วมของเทรดเดอร์ทั่วไป (Public Participation Phase): ช่วงที่เทรดเดอร์รายย่อยเริ่มทยอยเข้ามามีส่วนร่วม ทำให้ราคาสินทรัพย์พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วตามแรงซื้อ
- ระยะกระจาย (Distribution Phase): ช่วงที่เทรดเดอร์รายใหญ่เริ่มขายทำกำไร ในขณะที่เทรดเดอร์รายย่อยยังคงเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง
ลักษณะของตลาดกระทิง (Bullish)
คุณสามารถสังเกตลักษณะของตลาดกระทิงหรือ Bullish ได้ดังนี้
- ราคาของสินทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
- ตลาดกระทิงมักเป็นช่วงที่เทรดเดอร์มีความมั่นใจสูง ทำให้เกิดความกล้าและทำให้ปริมาณในการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- เทรนด์ของราคามักจะมีมุมเฉียงขึ้นในกราฟราคา ซึ่งสะท้อนถึงความต่อเนื่องและความสมดุลของแรงซื้อและแรงขาย
รูปแบบกราฟของตลาดกระทิง (Bullish)
กราฟตลาดกระทิงจะมีลักษณะเด่น คือ แท่งเทียนจะมีความชันขึ้น ถือเป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจนตามภาพตัวอย่าง ซึ่งคุณสามารถสังเกตรายละเอียดอื่น ๆ ได้ดังนี้

แนวโน้มของราคา
- ราคาเคลื่อนไหวอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจนและต่อเนื่อง
ลักษณะของตลาดกระทิง
- จุดสูงสุดและจุดต่ำสุดจุดใหม่จะสูงกว่าตำแหน่งเดิม (Higher Highs & Higher Lows)
- มีการ Pullback (ปรับตัวลง) บ้าง แต่ก็กลับมาแข็งแรงกว่าเดิม และไม่สามารถไม่ทำลาย Trend ขาขึ้นที่แข็งแกร่งได้
รูปแบบของแท่งเทียน
- ภาพรวมของแท่งเทียนสีเขียวที่เป็น Bullish จะมากกว่าแท่งเทียนสีแดงที่เป็น Bearish → แรงซื้อที่มีมากกว่าแรงขาย
ตารางเปรียบเทียบตลาดหมีและกระทิงในตลาด Forex
จากหัวข้อที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ พี่โบ้ได้เปรียบเทียบความแตกต่างทั้งสองสภาวะตลาด และกลยุทธ์ในการเทรดในสภาวะตลาดต่าง ๆ ไว้ดังนี้
ตลาดหมี (Bearish) | ตลาดกระทิง (Bullish) | |
ความหมาย | สภาวะที่ราคาของคู่สกุลเงินอยู่ในแนวโน้มที่เป็นขาขึ้น | สภาวะที่ราคาของคู่สกุลเงินอยู่ในแนวโน้มที่เป็นขาลง |
แนวโน้มของราคา | ราคามีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง | ราคามีการปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง |
ความรู้สึกของเทรดเดอร์ | เทรดเดอร์มักมีความกังวลและมีความเชื่อมั่นต่ำ | เทรดเดอร์มักมีความมั่นใจและมีความเชื่อมั่นที่สูง |
และเมื่อสภาวะตลาดอยู่ในแนวโน้มที่ชัดเจนอย่าง “ตลาดหมีและตลาดกระทิง” เทรดเดอร์สามารถพิจารณาเลือกใช้กลยุทธ์ในการเทรดได้ดังต่อไปนี้
กลยุทธ์รับมือตลาดหมีและตลาดกระทิง
- ตลาดหมี: เน้น “Short” (ขาย) ควบคู่ไปกับการใช้กลยุทธ์ Hedging เพื่อลดความเสี่ยง บริหาร Money Management ให้ดี และเตรียมพร้อมรับมือกับความผันผวนสูง
- ตลาดกระทิง: เน้น “Long” (ซื้อ) และใช้ Trailing Stop เพื่อให้ง่ายต่อการติดตามเทรนด์ และถือครองออเดอร์ให้นานขึ้นเมื่อสังเกตแล้วว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
*หมายเหตุ: แนวโน้มของตลาดหมีและตลาดกระทิงค่อนข้างชัดเจนและสม่ำเสมอ ดังนั้น เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้กลยุทธ์เทรดตามแนวโน้ม (Trend Following) เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการลงทุนครับ
สัตว์ประเภทอื่น ๆ ในตลาดการลงทุน
นอกจากการใช้สัตว์ทั้งสองชนิดอย่างหมีและกระทิงมาเป็นตัวแทนของสภาวะตลาดแล้ว ในโลกการลงทุนยังมีการใช้สัตว์ต่าง ๆ มาอธิบายพฤติกรรมของตลาดและนโยบายทางการเงินที่น่าสนใจอยู่ครับ
นโยบายการเงิน | ||
สัตว์ | ความหมาย | |
เหยี่ยว (Hawkish) | การใช้นโยบายตึงตัวในการดำเนินนโยบายทางการเงิน เช่น การขึ้นอัตราดอกเบี้ย | |
นกพิราบ (Dovish) | การใช้นโยบายผ่อนคลายในการดำเนินนโยบายทางการเงิน เช่น การลดอัตราดอกเบี้ย | |
ประเภทของเทรดเดอร์ | ||
สัตว์ | ความหมาย | |
หมู (Pig) | เทรดเดอร์ที่รีบขายเพื่อทำกำไรเร็วเกินไป จนเสียโอกาสในการลงทุน | |
ควาย (Buffalo/Bull Trap) | เทรดเดอร์ที่ขาดทุนจากการซื้อสินทรัพย์ที่ผิดเวลา | |
แกะ (Sheep) | เทรดเดอร์ที่คอยลงทุนตามเทรดเดอร์กลุ่มใหญ่เหมือนแกะที่คอยตามฝูง จนอาจทำให้ถูกขย้ำได้ง่าย ๆ | |
แมลงเม่า (Moths) | เทรดเดอร์ที่เข้าไปซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้นอย่างรุนแรงโดยไม่ได้กังวลว่าตนเองจะขาดทุน จนเปรียบเสมือนแมลงเม่าที่คอยบินเข่ากองไฟ |
สรุปเกี่ยวกับตลาดหมีและตลาดกระทิง (Bullish & Bearish Markets)
ตลาดหมี (Bearish) และตลาดกระทิง (Bullish) เป็นชื่อเรียกแทนทั้งสองสภาวะตลาดที่แข็งแกร่งด้วยพฤติกรรมของสัตว์ทั้งสองชนิด ให้จำไว้ว่าตลาดหมีมักจะแทนแนวโน้มขาลง และตลาดกระทิงจะแทนแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น กลยุทธ์การเทรดในแต่ละสภาวะตลาดก็จะแตกต่างกันไปตามภาพรวมของตลาด แต่ต้องอย่าลืมว่าตลาดมักจะมีช่วงเปลี่ยนผ่านของมันเสมอ ซึ่งจะเป็นช่วงที่เทรดเดอร์ควรระวังเป็นพิเศษ
สุดท้ายนี้ ปัจจัยภายนอกอย่างนโยบายธนาคารกลางและเหตุการณ์เศรษฐกิจโลก ก็ยังคงมีผลต่อการเกิดขึ้นและสิ้นสุดของแต่ละสภาวะตลาด ดังนั้น การติดตามปัจจัยเหล่านี้ควบคู่ไปด้วยจะช่วยให้คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงและปรับกลยุทธ์การลงทุนได้ทันท่วงทีครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับตลาดหมีและตลาดกระทิง
1. สัญญาณของตลาดกระทิงคืออะไร?
สัญญาณของตลาดกระทิง คือ ราคาของสินทรัพย์ทางการเงินมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีแรงซื้อมากกว่าแรงขาย ซึ่งมาจากความเชื่อมั่นในตลาดของเทรดเดอร์ที่เพิ่มสูงขึ้นครับ
2. ขนาดของ Time Frame มีผลต่อการดูแนวโน้มในตลาดหมีและกระทิงไหม?
มีผลแน่นอนครับ โดย Time Frame ที่มีขนาดใหญ่จะแสดงโน้มของตลาดหมีและกระทิงอย่างชัดเจนในขณะที่ Time Frame ระยะสั้นจะแสดงรูปแบบของทั้งสองตลาดสลับกันไปมาบ่อยครั้ง จนอาจเกิดสัญญาณหลอกได้ง่ายครับ
3. นอกจากตลาดหมีและตลาดกระทิง มีตลาดอื่นอีกไหม?
นอกเหนือจากสองตลาดนี้ ก็ยังมีตลาด Sideway หรือช่วงที่ราคาจะเคลื่อนที่ในกรอบแคบ ๆ โดยไม่มีแนวโน้มที่ชัดเจน
4. ทำไมต้องทำความเข้าใจตลาดหมีและตลาดกระทิง?
การทำความเข้าใจสภาวะของตลาดหมีและตลาดกระทิงจะช่วยให้นักลงทุนวางแผนรับมือและวางกลยุทธ์การเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นครับ
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page