Moving Average (MA) คืออะไร? Indicator พื้นฐานที่ต้องรู้

Table of Contents
Moving Average

ปัจจุบันผู้คนให้ความสำคัญกับการลงทุนเพิ่มมากขึ้น โดยลักษณะการลงทุนที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้น “การเทรด” เนื่องจากให้ผลตอบแทนสูงและรวดเร็ว ไม่ว่าจะในตลาด Forex, Cryptocurrency หรือ Stock ซึ่งตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้การเทรดของคุณมีประสิทธิภาพและเพิ่มความแม่นยำได้มากขึ้น คือ อินดิเคเตอร์ (Indicator)

บทความนี้ ทาง Traderbobo ขอนำเสนออินดิเคเตอร์ตัวสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องทำความเข้าใจ เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำคัญในการใช้ Indicator และสามารถต่อยอดไปยังอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ได้ นั่นคือ Moving Average Indicator หรือที่เรารู้จักกันในนาม MA Indicator โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรรู้ดังนี้

  • Moving Average (MA) คืออะไร
  • Moving Average Indicator ดูอะไรได้บ้าง
  • สูตร Moving Average
  • Moving Average (MA) ค่าเฉลี่ยประเภทไหนแม่นที่สุด
  • Moving Average หรือ MA Indicator ตั้งค่าอย่างไรให้แม่นยำ
  • ค่า moving average ที่นิยมใช้
  • ความแตกต่างของค่า Moving Average (MA) คืออะไร
  • วิธี Moving Average มีหลักการอย่างไร

———————————— 🐶 ————————————

Moving Average (MA) คืออะไร ?

Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือเส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ โดยใช้ราคาปิดย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อตรวจสอบแนวรับและแนวต้าน ทำให้เส้นที่แสดงผลออกมานั้นสามารถบ่งชี้ถึงราคาก่อนหน้าของสินทรัพย์ได้ และช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มราคา (Trend) ในอนาคตได้แม่นยำขึ้น ซึ่งจะแสดงผลออกมาในรูปแบบเส้นเรียบ (Smooth) ดังนั้น Moving Average หรือ MA จึงเป็น Indicator ที่เข้าใจง่ายและสะดวกต่อการใช้งาน โดยเฉพาะเทรดเดอร์มือใหม่

Moving Average สูตรคำนวณ

เนื่องจาก Moving Average คือ อินดิเคเตอร์ที่คำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การใช้ค่าเฉลี่ยตัวเดียวมาคำนวณไม่สามารถทำได้ ดังนั้น สูตร Moving Average จึงคำนวณค่าเฉลี่ยราคาออกมาหลายตัว และแสดงออกมาเป็นกราฟเส้น ซึ่งในการใช้จริงเส้น MA จะปรากฎควบคู่กับกราฟ

ตัวอย่างการใช้ Moving Average คำนวณแบบง่าย

วันที่ราคาปิดของสินทรัพย์
120.85
221.15
322.06
420.00
523.58

จากตารางตัวอย่าง เราจะใช้สูตร Moving Average (MA) 5 วัน โดยหลักการวิเคราะห์ คือ นำราคาทั้งหมดมารวมกัน จากนั้นหารด้วยจำนวนวัน ดังนี้:

(20.85 + 21.15 + 22.06 +20.00 +23.58) / 5 = 21.53

ดังนั้น ค่า MA ที่ได้จะเท่ากับ 21.53 ซึ่งการคำนวณแบบใช้ค่าเฉลี่ย เป็นหนึ่งในวิธีที่จะช่วยลดความผันผวนของราคาได้ดีมากขึ้น

Moving Average บอกอะไรได้บ้าง ?

  • คุณสามารถใช้ Moving Average เพื่อดูแนวโน้มราคาหรือเทรนด์
  • คุณสามารถใช้ Moving Average เพื่อหาจุดเข้าซื้อ-ขาย
  • คุณสามารถใช้ Moving Average Indicator เป็นแนวรับ-แนวต้าน

Moving Average มีกี่แบบ ค่าเฉลี่ยประเภทไหนแม่นที่สุด ?

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า เส้น Moving Average หรือเส้น MA ในรูปแบบ Indicator ในโปรแกรมเทรดแบ่งออกเป็น 2 เส้น ได้แก่ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ซึ่งมีรูปแบบการคำนวณและการเลือกใช้ที่แตกต่างกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

Moving Average

เส้น SMA คืออะไร ?

SMA คือ เส้นที่ใช้ราคาจากอดีตมาหาค่าเฉลี่ย ซึ่ง SMA ย่อมาจาก Simple Moving Average โดยหลักการคำนวณของ SMA จะให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในแต่ละวันเท่ากัน ดังนั้น SMA จึงให้สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ช้ากว่า EMA

เส้น EMA คืออะไร ?

EMA คือ เส้นที่ใช้ราคาจากอดีตมาหาค่าเฉลี่ยเช่นเดียวกับ SMA ซึ่ง EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average แต่มีข้อแตกต่างที่หลักการคำนวณ เนื่องจาก EMA จะให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในวันล่าสุดมากกว่า ดังนั้น EMA จึงให้สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่เร็วกว่า SMA

SMA กับ EMA ต่างกันอย่างไร ?

ประเภท Moving AverageSimple Moving Average (SMA)Exponential Moving Average (EMA)
การคำนวณให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในแต่ละวันเท่ากันให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในวันล่าสุด
การให้สัญญาณช้าเร็ว
ข้อจำกัดเกิดสัญญาณหลอกน้อยเกิดสัญญาณหลอกมาก

คำถามที่มักเกิดขึ้นบ่อยกับเทรดเดอร์มือใหม่ในการใช้ Moving Average Indicator คือ “เส้น SMA ต่างจากเส้น EMA อย่างไร” จากตารางจะเห็นได้ว่า เส้น EMA จะให้สัญญาณที่เร็วกว่าเส้น SMA หรือ EMA ตอบสนองต่อราคาได้ดีกว่านั่นเอง อธิบายง่าย ๆ เมื่อกราฟราคามีการปรับตัวขึ้นหรือลง เส้น EMA จะสามารถปรับตัวไปตามราคาได้ก่อนเส้น SMA

อย่างไรก็ตาม เส้น EMA มีข้อดีก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เนื่องจากการปรับตัวที่รวดเร็วส่งผลให้อาจเกิดสัญญาณหลอกได้มากกว่า ในทางกลับกัน การใช้เส้น SMA ในการวิเคราะห์มักจะเกิดสัญญาณหลอกได้น้อยกว่าเส้น EMA

ดังนั้น การเลือกใช้เส้น Moving Average Indicator จึงขึ้นอยู่กับความถนัดและกลยุทธ์ของแต่ละบุคคล รวมถึง TimeFrame และระยะเวลาในการลงทุน นอกจากนี้ คุณยังสามารถใช้ Simple Moving Average (SMA) และ Exponential Moving Average (EMA) ร่วมกันในการวิเคราะห์ได้อีกด้วย

Moving Average ตั้งค่าอย่างไรดีที่สุด ?

โดยทั่วไป Moving Average ตั้งค่าจากความถนัด และเงื่อนไขการลงทุนของแต่ละบุคคล ซึ่งแต่ละคนจะมีเทคนิคการเลือกใช้เส้น (SMA,EMA) และช่วงเวลา (Period) ที่ไม่เหมือนกัน อย่างไรก็ตาม เส้น EMA และเส้น SMA มีความคล้ายกันค่อนข้างมาก ดังนั้น เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จึงตั้งค่า Moving Average โดยแบ่งจากระยะเวลาการลงทุน ได้แก่ ระยะสั้น, ระยะกลาง และระยะยาว ว่าควรเลือก Period ใดมาใช้ในการวิเคราะห์

Moving Average ตั้งค่า

จากภาพ แสดงการตั้งค่า Moving Average โดยใช้เส้น EMA(9) ซึ่งคุณสามารถใช้อินดิเคเตอร์ Moving Average ตั้งค่า Period ของเส้น MA ต่าง ๆ ได้ในโปรแกรมเทรด MT4 และ MT5 หรือ Tradingview โดยจะอยู่ในช่อง “Period” ดังภาพ

Moving Average ตั้งค่าสำหรับการลงทุนระยะสั้น

ค่า MA สำหรับการลงทุนระยะสั้น นิยมใช้อยู่ที่ 5-10 วัน หรือ 20-25 วัน การเพิ่มจำนวน Period จะช่วยลดความผันผวนและทำให้เห็นแนวโน้มที่ชัดเจนขึ้น ซึ่งค่า Moving Average นี้เหมาะกับการเทรดแบบ Day Trading และ Scalping

Moving Average ตั้งค่าสำหรับการลงทุนระยะกลาง

ค่า MA สำหรับการลงทุนระยะกลาง นิยมใช้อยู่ที่ 50 วัน 75 วัน และ 100 วัน ซึ่งจะใช้ Period มากกว่าระยะสั้น เพื่อหาแนวโน้มหลัก ซึ่งค่า Moving Average นี้เหมาะกับการเทรดตามเทรนด์ หรือ Trend Following

Moving Average ตั้งค่าสำหรับการลงทุนระยะยาว

ค่า MA สำหรับการลงทุนระยะกลาง นิยมใช้อยู่ที่ 200 วัน เนื่องจากต้องใช้ Timeframe 1Y เพื่อหาแนวโน้มหลักที่ชัดเจนที่สุด

ค่า Moving Average ที่นิยมใช้ (EMA)

จากที่กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้านี้ว่า ค่า Moving Average ที่นักลงทุนส่วนใหญ่ใช้ตั้งค่า สามารถแบ่งออกได้เป็นการลงทุนระยะสั้น การลงทุนระยะกลาง และการลงทุนระระยาว ซึ่งจะมีค่า SMA และ EMA ที่แตกต่างกันออกไป สำหรับหัวข้อนี้ Traderbobo ข้อพูดถึงค่า Moving Average ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย นั่นคือ Exponential Moving Average หรือ EMA เนื่องจากให้สัญญาณที่เร็ว ทำให้เป็นจุดเด่นที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เลือกใช้ จากนั้นใช้ Indicator อื่น ๆ ร่วมด้วย เพื่อยืนยันสัญญาณและป้องกันสัญญาณหลอก

ตั้งค่าเส้น EMA ที่นิยมใช้ คือ 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน, 25 วัน, 40 วัน, 50 วัน, 75 วัน และ 200 วัน หากสังเกตดูดี ๆ ค่าเฉลี่ยเหล่านี้เป็นจำนวนในรอบสัปดาห์ เดือน และไตรมาส โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • เส้น EMA(5) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการ หรือ 1 สัปดาห์
  • เส้น EMA(10) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 10 วันทำการ หรือ 2 สัปดาห์ หรือ ประมาณครึ่งเดือน
  • เส้น EMA(20) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 20 วันทำการ หรือ 4 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 1 เดือน
  • เส้น EMA(25) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 25 วันทำการ หรือ ประมาณ 1 เดือน
  • เส้น EMA(40) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 40 วันทำการ หรือ 8 สัปดาห์ หรือ เกือบๆ 2 เดือน
  • เส้น EMA(50) = การคำนวณค่าเฉลี่ยเฉลี่ยย้อนหลัง 50 วันทำการ หรือ ประมาณ 2 เดือน
  • เส้น EMA(75) = การคำนวณค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 75 วันทำการ หรือ ประมาณ 3 เดือน หรือ 1 ไตรมาส
  • เส้น EMA(200) = การคำนวณค่าเฉลี่ยเป็นตัวเลขกลม ๆ ของจำนวนวันประมาณ 3 ไตรมาส

ความแตกต่างของค่า Moving Average (MA) คืออะไร ?

จำนวนวัน (Period)ความแตกต่าง
Period น้อย▪ เห็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้เร็ว
▪ ให้สัญญาณเข้าซื้อและขายเร็ว
▪ มีความผันผวนสูง
▪ อาจเกิด Noise (ตัวรบกวน)
Period มาก▪ เห็นการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มได้ช้าลง
▪ ให้สัญญาณเข้าซื้อและขายช้า
▪ มีความผันผวนน้อยลง
▪ อาจเกิด Noise (ตัวรบกวน) น้อยลง

วิธี Moving Average มีหลักการอย่างไร ใช้อย่างไร ?

การใชั Moving Average Indicator เพื่อวิเคราะห์ในการเทรด สามารถแบ่งออกเป็น 4 วิธีหลัก ดังนี้:

  • ดูแนวโน้มจากความชัน (Slope) ของเส้น Moving Average
  • ดูแนวโน้มจากการตัดกัน (Crossover) ของเส้น Moving Average
  • ใช้เส้น Moving Average เป็นแนวรับ-แนวต้าน
  • หาจุดเข้าซื้อ-ขาย

วิธีใช้ MA ดูแนวโน้มจากความชัน (Slope)

การดูแนวโน้มด้วยความชันของเส้น Moving Average คือ หลักการใช้ที่ง่ายที่สุดสำหรับอินดิเคเตอร์ตัวนี้ โดยคุณสามารถเลือกใช้เส้น MA เส้นเดียว หรือ 2 เส้นก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถเลือกใช้ได้ทั้งเส้น SMA หรือ EMA ตามเงื่อนไขการลงทุนของแต่ละบุคคล ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นหลักการจำง่าย ๆ ดังนี้

🐶 เทคนิคการดูความหมาย
เส้น MA ชี้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง และราคาอยู่บนเส้น MAมีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
เส้น MA ชี้ลงอย่างต่อเนื่อง และราคาอยู่ใต้เส้น MAมีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
Moving Average

* หมายเหตุ: สำหรับการดูแนวโน้มจาก Slope ของเส้น MA คุณสามารถใช้เส้น MA 1 เส้น หรือ 2 เส้นก็ได้ และสามารถใช้ได้ทั้งเส้น EMA และเส้น SMA หรือใช้ควบคู่กัน โดยขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ เงื่อนไขการลงทุน และความถนัดของแต่ละบุคคล

วิธีใช้ MA ดูแนวโน้มจากการตัดกัน (Crossover)

การตัดกัน (Crossover) ของเส้น Moving Average เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถดูแนวโน้มของราคาได้ โดยทั่วไปจะนิยมใช้เส้น MA ประเภทเดียวกันทั้ง 2 เส้น แต่ก็สามารถใช้ทั้งเส้น SMA และ EMA ตัดกันได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละบุคคล โดยเราจะให้ความสำคัญที่การกำหนด Period ของแต่ละเส้น ซึ่งต้องมีทั้งเส้น Period น้อย และเส้น Period มาก ซึ่งสามารถสรุปออกมาเป็นหลักการจำง่าย ๆ ดังนี้

🐶 เทคนิคการดูความหมาย
Period น้อย ตัด Period มาก ขึ้นไปมีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
Period น้อย ตัด Period มาก ลงมามีโอกาสสูงที่จะเป็นแนวโน้มขาลง (Downtrend)
Moving Average

* หมายเหตุ: สำหรับการใช้ Crossover ของ Moving Average นอกจากการดูแนวโน้ม ประโยชน์ของการตัดกันมีอีกอย่างหนึ่ง คือ หาจุดเข้าซื้อ-ขาย ซึ่งเราจะอธิบายอย่างละเอียดในหัวข้อถัดไป

วิธีใช้ MA หาจุดเข้าซื้อ-ขายจากการตัดกัน (Crossover)

การหาจุดเข้าซื้อ-ขายจากการตัดกันของเส้น Moving Average จะใช้หลักการเดียวกับหัวข้อก่อนหน้านี้ โดยจำเป็นต้องมีทั้งเส้น Period น้อย และเส้น Period มาก ซึ่งมีเทคนิคง่าย ๆ ในการหาจุดเข้าซื้อ-ขาย ดังนี้

🐶 เทคนิคการดูความหมาย
Period น้อย ตัด Period มาก ขึ้นไปเปิดออเดอร์ Buy มีโอกาสทำกำไรมากกว่า
Period น้อย ตัด Period มาก ลงมาเปิดออเดอร์ Sell มีโอกาสทำกำไรมากกว่า
Moving Average

* หมายเหตุ : สำหรับการหาจุดเข้าซื้อ-ขาย จากการตัดกันของเส้น MA โดยทั่วไปจะนิยมใช้เส้น Moving Average ประเภทเดียวกันทั้ง 2 เส้น แต่ก็สามารถใช้ทั้งเส้น SMA และ EMA ตัดกันได้เช่นกัน ขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ เงื่อนไขการลงทุน และความถนัดของแต่ละบุคคล

วิธีใช้ MA เป็นแนวรับ-แนวต้าน และหาจุดเข้าซื้อ-ขาย

แนวรับ-แนวต้าน เป็นหนึ่งในหลักการพื้นฐานที่เทรดเดอร์ควรทำความเข้าใจอันดับแรกในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ให้มีประสิทธิภาพและแม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราขออธิบายความหมายของทั้ง 2 คำนี้ก่อน เพื่อให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้น

  • แนวรับ (Support) คือ การที่ราคาปรับตัวลงในระดับหนึ่งจนเกิดแรงจูงใจในการเข้าซื้อ
  • แนวต้าน (Resistance) คือ การที่ราคาปรับตัวขึ้นในระดับหนึ่งจนเกิดแรงจูงใจในการขายออก

การใช้เส้น MA เป็นแนวรับ-แนวต้าน ทำให้คุณสามารถกำหนดแนวรับ-แนวต้านได้ง่ายและแม่นยำมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังอาจเป็นสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญเมื่อราคาวิ่งมาทดสอบกับเส้น MA หากกรณีนี้เกิดขึ้นคุณสามารถหาจุดเข้าซื้อและขายจากสัญญาณการกลับตัวได้ โดยมีเทคนิคง่าย ๆ ดังนี้

🐶 เทคนิคการดูความหมาย
ราคาวิ่งขึ้นทะลุเส้น MA ที่เป็นแนวต้านเปิดออเดอร์ Buy มีโอกาสทำกำไรมากกว่า
ราคาวิ่งลงหลุดเส้น MA ที่เป็นแนวรับเปิดออเดอร์ Sell มีโอกาสทำกำไรมากกว่า
Moving Average

* หมายเหตุ: สำหรับการใช้เส้น MA เป็นแนวรับ-แนวต้าน เราจะใช้เส้น MA 1 เส้น ซึ่งคุณสามารถเลือกได้ว่าจะใช้เส้น SMA หรือ EMA โดยขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ เงื่อนไขการลงทุน และความถนัดของแต่ละบุคคล

สรุป Moving Average คืออะไร

Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังมาคำนวณ โดยเส้น MA มีทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่ เส้น SMA และ เส้น EMA ซึ่งจะมีรูปแบบการใช้ และการคำนวณที่แตกต่างกันออกไป ในส่วนของการเลือกใช้ประเภทเส้น MA ในการวิเคราะห์ ขึ้นอยู่กับความถนัดและเงื่อนไขการลงทุนของแต่ะบุคคล

นอกจากนี้ Moving Average Indicator ยังสามารถใช้เป็นแนวรับ-แนวต้าน, ดูแนวโน้ม และหาจุดเข้าซื้อ-ขายได้อีกด้วย โดยมีเทคนิคและหลักการจำที่ง่ายเหมาะสำหรับมือใหม่ ทำให้อินดิเคเตอร์ Moving Average เป็น Indicator พื้นฐานอีกหนึ่งตัวที่เทรดเดอร์ทุกคนควรทำความเข้าใจก่อนลงสนามจริง

อย่างไรก็ตาม การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาพื้นฐาน และปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์อย่างละเอียด ที่สำคัญการใช้อินดิเคเตอร์ 2 ตัวขึ้นไปในการวิเคราะห์จะช่วยลดความเสี่ยง และเพิ่มความแม่นยำในการเทรดได้

หากใครกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex อยู่ เราได้รวบรวมไว้ที่นี่!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Moving Average คืออะไร? MA คืออะไร?

Moving Average คืออะไร

Moving Average (MA) คือ อินดิเคเตอร์ที่ใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ หรือเส้นค่าเฉลี่ยในการวิเคราะห์ โดยใช้ราคาปิดย้อนหลังตามระยะเวลาที่กำหนด เพื่อตรวจสอบแนวรับและแนวต้าน ซึ่งสะท้อนผลออกมาเป็นเส้นเรียบ ทำให้ MA เป็นอินดิเคเตอร์ที่มีความเรียบง่าย และเป็นพื้นฐานในการใช้อินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ

MA คืออะไร

MA ย่อมาจาก Moving Average คือ อินดิเคเตอร์ Forex ขั้นพื้นฐาน แต่มีประสิทธิภาพสูง

ตั้งค่า Moving Average Forex

Moving Average คำนวณโดยใช้ค่าเฉลี่ยราคาปิดย้อนหลังหลายตัวตามระยะเวลาที่กำหนดไว้

เส้น EMA ที่นิยมใช้

เส้น EMA ที่นิยมใช้ คือ 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน, 25 วัน, 40 วัน, 50 วัน, 75 วัน และ 200 วัน

เส้น EMA คืออะไร

EMA ย่อมาจาก Exponential Moving Average คือ เส้นที่ใช้ราคาจากอดีตมาหาค่าเฉลี่ย โดยให้น้ำหนักของราคาเฉลี่ยในวันล่าสุดมากกว่า

Weighted Moving Average คืออะไร

Weighted Moving Average (WMA) คือ ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก โดยจะใส่ค่าน้ำหนักของข้อมูลแต่ละตัวที่นำมาคำนวณ WMA ตามลำดับความสำคัญ

ค่า moving average ที่นิยมใช้

ค่า moving average ที่นิยมใช้ คือ การตั้งค่า EMA 5 วัน, 10 วัน, 20 วัน, 25 วัน, 40 วัน, 50 วัน, 75 วัน และ 200 วัน

วิธี moving average มีหลักการอย่างไร

1. ดูแนวโน้มจากความชัน (Slope) ของเส้น Moving Average
2. ดูแนวโน้มจากการตัดกัน (Crossover) ของเส้น Moving Average
3. ใช้เส้น Moving Average เป็นแนวรับ-แนวต้าน
4. หาจุดเข้าซื้อ-ขาย


อ่านบทความเพิ่มเติม: สาระน่ารู้

วิเคราะห์ราคาทองคำรายวัน: วิเคราะห์ราคาทองคำ และ Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter