
Stochastic คือ อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่นิยมใช้ในการเทรดสั้น เนื่องจากให้สัญญาณค่อนข้างเร็ว บอกได้ทั้งสภาวะตลาดและกำหนดจุดเข้าซื้อ-ขาย 🔥
เทคนิคการเทรด Forex ที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ การเทรดสั้น เช่น Day Trade, Scalping และ Swing Trade เนื่องจากสามารถทำกำไรได้อย่างรวดเร็ว และมีโอกาสทำกำไรได้หลายครั้งต่อวัน ซึ่งตัวช่วยที่ดีที่สุดในการเทรดสั้น คือ Oscillator Indicator โดยเฉพาะ “Stochastic” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “STO”
“Stochastic ลูกรักสายเทรดสั้น มีรูปแบบการเทรดคล้ายกับ RSI แต่สามารถใช้งานได้ดีกว่าในตลาด Sideway”
*หมายเหตุ: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจ และไม่ควรเชื่อในสัญญาณเทรดจากอินดิเคเตอร์เพียงตัวเดียว เพราะอาจเกิดความคลาดเคลื่อนได้ ดังนั้น คุณควรใช้เทคนิคการเทรดอื่น ๆ ที่น่าเชื่อถือวิเคราะห์ร่วมด้วย
. . . . . . . . . 🐶 . . . . . . . . .
Stochastic Oscillator คืออะไร?

Stochastic (STO) คือ Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือทำนายทิศทางราคาสินทรัพย์ในอนาคต โดยสามารถใช้ได้ในทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น Stock, Commodity, Crypto และ Forex ซึ่ง Stochastic ให้บริการในโปรแกรมเทรด ทั้ง MT4 และ MT5 รวมถึง TradingView
*หมายเหตุ: Stochastic Oscillator ถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในทุกตลาด โดยเฉพาะการเทรดสั้น เช่น Day Trading (Intraday Trading), Scalping Trading และ Swing Trading
ผู้คิดค้น Stochastic Oscillator คือใคร?

ข้อมูลหลายแห่งบอกว่า Stochastic Oscillator ถูกคิดค้นมาจาก George C. Lane เมื่อปลายปี 1950 แต่มีอีกสมมติฐานที่ยังเป็นข้อถกเถียงกันว่า บริษัท Investor’s Educators คือ ผู้คิดค้น Stochastic เนื่องจากบริษัทนี้ได้เขียนบทความเกี่ยวกับ Stochastic Process ซึ่งมีเนื้อหาเรื่อง Stochastic Indicator ร่วมด้วย
Stochastic Oscillator บอกอะไรได้บ้าง?
- ภาวะ Overbought และ Oversold
- สัญญาณการกลับตัว (Reversal)
- แนวโน้มในอนาคต
- จุดเข้าซื้อขายด้วย Crossover
- จุดเข้าซื้อขายด้วย Divergence
ข้อดี-ข้อเสียของ Stochastic
ข้อดี Stochastic
- มีการใช้งานที่ง่าย
- สามารถใช้หาจุดกลับตัวได้
- มีองค์ประกอบหลายส่วนที่นำมาใช้วิเคราะห์แนวโน้มได้
- ให้สัญญาณค่อนข้างเร็ว
- สามารถใช้ได้ในทุกสภาวะตลาด
ข้อเสีย Stochastic
- พบสัญญาณหลอกได้ง่าย
- ควรใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่นเพื่อยืนยันสัญญาณ
- อาจจะไม่เหมาะกับการเทรดยาว
Stochastic RSI คืออะไร?
Stochastic และ RSI คือ Indicator ยอดนิยมของการเทรดสั้น โดยอินดิเคเตอร์ 2 ตัวนี้ มีองค์ประกอบที่ค่อนข้างคล้ายกัน จึงทำให้เทรดเดอร์หลายคนมักเรียกรวมกันว่า Stochastic RSI แต่ทั้งคู่มีการคำนวณที่แตกต่างกันนะครับ จึงทำให้ Stochastic ให้สัญญาณที่ค่อนข้างเร็วกว่า RSI แต่คุณก็สามารถพบสัญญาณหลอกได้มากกว่าเช่นกัน
RSI กับ Stochastic ต่างกันอย่างไร?

- STO ให้สัญญาณได้เร็วกว่า
- STO ใช้ดูว่าราคาปัจจุบันอยู่จุดไหนของกรอบราคา ส่วน RSI ดูความแรงของการขึ้น-ลงของราคา
- STO ให้สัญญาณไว เหมาะกับการหาจุดเข้าในระยะสั้น ขณะที่ RSI เหมาะกับการยืนยันแนวโน้มใหญ่
- STO ใช้ในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway ได้ดีกว่า RSI
- การใช้ STO มักพบสัญญาณหลอกได้บ่อยกว่า RSI
ตารางสรุปความแตกต่างของ RSI กับ Stochastic
| RSI | Stochastic | |
| สัญญาณ | ใช้เส้นเดียวในการวัดความแรงของแนวโน้มด้วยค่าดัชนี 0-100 โดยระดับสำคัญอยู่ที่ 30 และ 70 | ใช้ 2 เส้น (%K และ %D) ในการวัดความเร็วของการเปลี่ยนแปลงราคาด้วยค่าดัชนี 0-100 โดยระดับสำคัญอยู่ที่ 20 และ 80 | 
| ค่ามาตรฐาน | RSI = 14 | %K = 14 %D = 3 Smooth = 3 | 
| แนวคิด | วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม | วัดความเร็วและความผันผวนของราคาล่าสุด | 
| Overbought และ Oversold ในช่วงตลาดเป็น Sideways | ให้สัญญาณ แต่มักเป็น False Signal (ไม่เหมาะกับตลาด Sideway) | ให้สัญญาณการซื้อ-ขาย | 
| Crossover | ไม่มี Crossover แต่จะใช้ระดับ 30/70 เป็นสัญญาณ | ให้สัญญาณระยะสั้น | 
| การใช้งาน | ใช้หาสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม | ใช้ในแนวโน้มที่แข็งแกร่ง สำหรับการเทรดระยะสั้น | 
📢 Stochastic สามารถบอกได้ทั้งภาวะ Overbought, Oversold และ Divergence รวมถึงการเกิด Crossover ที่เหมือนกับ RSI แต่ให้ความแม่นยำมากกว่าในช่วงตลาด Sideway ดังนั้น Stochastic จึงเหมาะอย่างยิ่งในการเทรดสั้น จนขึ้นแท่นเป็น “อินดิเคเตอร์ลูกรัก”
ส่วนประกอบของ Stochastic Oscillator

- เส้นสีฟ้า คือ %K (Fast Stochastic)
- เส้นสีแดง คือ %D (Slow Stochastic)
- ระดับ 80 คือ ค่า Stochastic Oscillator ที่ใช้ดูภาวะ Overbought
- ระดับ 20 คือ ค่า Stochastic Oscillator ที่ใช้ดูภาวะ Oversold
สูตร Stochastic Oscillator
สูตร Stochastic Oscillator คำนวณด้วยการเปรียบเทียบราคาปิดปัจจุบัน (Close) กับช่วง High และ Low ของราคาที่ผ่านมา เพื่อตรวจสอบว่า ราคาปัจจุบันอยู่ในช่วงการแกว่งตัวสูงหรือต่ำ และดูว่า แนวโน้มใดแข็งแกร่งกว่ากันในช่วงนั้น ซึ่งมีค่าสำคัญอยู่ 2 ค่า คือ %K และ %D โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. สูตร %K (Fast Stochastic)
%K = (Current Close – Lowest Low) / (Highest High – Lowest Low) * 100
ความหมายของตัวแปร
- %K คือ ตัวแทนของราคาที่เป็นค่าหลักที่เราใช้พิจารณา
- Current Close คือ ราคาปิด ณ ช่วงเวลาปัจจุบัน หรือราคาปัจจุบัน
- Lowest Low คือ ราคาต่ำสุด ณ ช่วงที่พิจารณา
- Highest High คือ ราคาสูงสุด ณ ช่วงที่พิจารณา
2. สูตร %D (Slow Stochastic)
%D = 3-day SMA of %K
ความหมายของตัวแปร
- %D คือ Simple Moving Average (SMA) 3 Period ของเส้น %K
*หมายเหตุ: ในกรณีที่ตลาดมีความผันผวนสูงจนทำให้ราคาวิ่งแรง เราจะดูเส้น %D ก่อนเส้น %K เนื่องจาก %K ตอบสนองต่อราคาเร็วกว่า จึงทำให้อาจอ่อนไหวไปตามความผันผวน แต่ %D จะไม่ค่อยขยับ ดังนั้น การทำเช่นนี้จะช่วยลดความไขว้เขวต่อความผันผวน
วิธีการตั้งค่า Stochastic Oscillator
📢 เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ค่าเริ่มต้น คือ Stochastic Oscillator 5, 3, 3
จากสูตร Stochastic Oscillator ในหัวข้อก่อนหน้านี้ คุณจะเห็นว่า Stochastic คือ อินดิเคเตอร์ที่มีการนำราคาปัจจุบันเข้ามาคำนวณด้วย และนี่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ Stochastic สามารถส่งสัญญาณได้ค่อนข้างเร็วกว่าอินดิเคเตอร์ตัวอื่น
ซึ่งจะแสดงผลออกมาเป็นดัชนี 0-100 โดยมีเส้นสัญญาณอยู่ 2 เส้นใน Indicator ได้แก่ %K (Fast Stochastic) และ %D (Slow Stochastic) ซึ่งจะมีค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 5 และ 3 ตามลำดับ ดังภาพด้านล่าง

วิธีการตั้งค่า Stochastic Forex
คุณสามารถกำหนดค่า “Slowing” หรืออาจเรียกว่า “Smooth” ซึ่งเป็นหน่วยถ่วงน้ำหนักสำหรับ %K ได้ตามความต้องการของตนเอง โดยมีค่าเริ่มต้นอยู่ที่ 3 แต่คุณสามารถปรับเปลี่ยนค่าให้เป็น 1 ได้ เพื่อให้เส้น %K ตอบสนองต่อราคาที่เร็วขึ้น ดังนี้
- (Slowing,Smooth) = 3 หมายความว่า “Slow Stochastic”
- (Slowing,Smooth) = 1 หมายความว่า “Fast Stochastic”
*หมายเหตุ: ถึงแม้ Fast Stochastic จะให้การตอบสนองต่อราคาที่เร็วกว่า Slow Stochastic แต่ก็สามารถเกิดสัญญาณหลอกได้มากกว่าเช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนส่วนใหญ่จึงนิยมตั้งค่าเป็น Slow Stochastic Oscillator มากกว่า
นอกจากนี้ ในช่อง “Method” คุณยังสามารถเลือกใช้เส้นต่าง ๆ ได้ โดยมีอยู่ 4 ประเภท ซึ่งแต่ละประเภทจะมีการคำนวณ และการให้สัญญาณที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความถนัดและกลยุทธ์การเทรดของแต่ละบุคคล แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้ค่าดั้งเดิม คือ Simple

- Simple คือ การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่อย่างง่าย (SMA) และแสดงออกมาเป็นเส้นเรียบแบบคลาสสิก
- Exponential คือ การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) และแสดงออกมาเป็นเส้นเรียบ
- Linear Weighted คือ การใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนักเชิงเส้น (LWMA)
- Smoothed คือ การปรับเส้นให้เรียบขึ้นเป็นสองเท่า ด้วยหลักการของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Smoothed Moving Average (SMA)
*หมายเหตุ : สำหรับค่า Slowing หรือ Smooth ส่วนใหญ่จะนิยมตั้งค่าที่ 1 และ 3 โดยค่า Fast Stochastic เป็นค่าดั้งเดิมของ Stochastic Oscillator แต่ค่า Slow Stochastic ถูกพัฒนาและต่อยอดขึ้นมา โดยใช้ Slowing หรือ Smooth เข้ามาถ่วงน้ำหนักเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดการเกิดสัญญาณหลอก
ค่ามาตรฐาน Stochastic Oscillator คือเท่าไร?
- ค่ามาตรฐานของ Stochastic Oscillator อยู่ที่ 5, 3, 3
ค่าที่นิยมของ Stochastic Oscillator คือเท่าไร?
- ค่าที่นิยมของ Stochastic Oscillator อยู่ที่ 14, 3, 3 และ 21, 5, 5
วิธีการใช้ Stochastic ทำกำไรในตลาด Forex
วิธีการใช้ Stochastic Oscillator เพื่อทำกำไรในตลาดต่าง ๆ มีหลักการเดียวกัน โดยจะแบ่งออกเป็น 3 สัญญาณหลัก ได้แก่ Overbought/Oversold, Crossover และ Divergence ซึ่งสัญญาณทั้งหมดนี้สามารถใช้ดูประกอบร่วมกันได้ เพื่อยืนยันสัญญาณให้ชัดเจนขึ้น

- การดู Overbought และ Oversold
- การดู Crossover เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย
- การดู Divergence เพื่อหาแนวโน้มและจุดเข้าซื้อขาย
1. วิธีการใช้ Stochastic ดู Overbought และ Oversold
สำหรับการดูภาวะ Overbought และ Oversold ด้วย Stochastic Indicator มีค่าระดับสำคัญอยู่ที่ 80 และ 20 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
| สัญญาณ | ความหมาย | 
| Stoch > 80 | ▪ ณ ราคานั้นเกิดภาวะ Overbought ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า | 
| Stoch < 20 | ▪ ณ ราคานั้นเกิดภาวะ Oversold ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า | 
วิธีดู Stochastic กรณี Overbought
Overbought คือ ภาวะที่เกิดการซื้อมากเกินไป จนทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง จากนั้นนักลงทุนเริ่มขายสินทรัพย์ออกเพื่อทำกำไร บ่งบอกว่ามีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง แม้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

📢 จากตัวอย่าง คุณจะเห็นว่า Stochastic Oscillator อยู่สูงกว่าระดับ 80 หมายความว่า ราคากำลังเกิดภาวะ Overbought ซึ่งมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า
วิธีดู Stochastic กรณี Oversold
Oversold คือ ภาวะที่เกิดการขายมากเกินไป จนทำให้ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง จากนั้นสินทรัพย์มีราคาถูกลงและน่าดึงดูดแก่นักลงทุน บ่งบอกถึง มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น แม้อยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)

📢 จากตัวอย่าง คุณจะเห็นว่า Stochastic Oscillator อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 หมายความว่า ราคากำลังเกิดภาวะ Oversold ซึ่งมีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า
*หมายเหตุ: หากเกิดการ Crossover ของเส้น %K และ %D ในโซน Overbought หรือ Oversold จะถือเป็นการยืนยันสัญญาณให้แม่นยำยิ่งขึ้น
2. วิธีการใช้ Stochastic ดู Divergence
สำหรับการดู Divergence ด้วย Stochastic Oscillator ถือว่าเป็นการให้สัญญาณที่ค่อนข้างมีความแม่นยำสูง สำหรับการคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต และหาจุดเข้าซื้อขาย ซึ่งสัญญาณ Divergence ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาเป็นจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรอบนั้น ๆ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
| Stoch Divergence | สัญญาณ | ความหมาย | 
| Bullish Divergence | ▪ ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง ▪ Stoch บอกทิศทางเป็นขาขึ้น ▪ Stoch อยู่ในโซน Oversold (<20) | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า | 
| Bearish Divergence | ▪ ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ▪ Stoch บอกทิศทางเป็นขาลง ▪ Stoch อยู่ในโซน Overbought (>80) | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า | 
⚠ ควรพิจารณาการเกิด Divergence ที่โซน Overbought และ Oversold เนื่องจากหากเกิด Divergence ที่โซนปกติ จะถือเป็นสัญญาณระยะสั้น หรือเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราว
Stochastic Divergence คืออะไร?
📢 Divergence คือ การที่ราคาเคลื่อนไปในทิศทางที่สวนทางกับ Indicator ในที่นี้ คือ STO โดยเมื่อราคาเกิด Divergence จะถือเป็นสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญ และมักเกิดการ Crossover ควบคู่ไปด้วย ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Divergence
วิธีดู Stochastic Bullish Divergence

📢 Stochastic Bullish Divergence คือ Divergence ขาขึ้น เกิดขึ้นเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง หรือลดลงเรื่อย ๆ (Lower Low) แต่เส้น %K และ %D ปรับตัวขึ้น อยู่ในโซน Oversold ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า
*หมายเหตุ: ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิด Bullish Divergence ขึ้น จะต้องมีการ Crossover โดยเส้น %K ตัด %D ขึ้นไปในโซน Oversold และจะถือเป็นการยืนยันสัญญาณให้แม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีดู Stochastic Bearish Divergence

📢 Stochastic Bearish Divergence คือ Divergence ขาลง เกิดขึ้นเมื่อราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Higher High) แต่เส้น %K และ %D ปรับตัวลง อยู่ในโซน Overbought ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า
*หมายเหตุ: ส่วนใหญ่แล้วเมื่อเกิด Bearish Divergence ขึ้น จะต้องมีการ Crossover โดยเส้น %K ตัด %D ลงมาในโซน Overbought และจะถือเป็นการยืนยันสัญญาณให้แม่นยำยิ่งขึ้น
3. วิธีการใช้ Stochastic Oscillator ดู Crossover
สำหรับการดู Crossover ด้วย Stochastic Oscillator เพื่อหาจุดเข้าซื้อขายและคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต เราจะให้ความสำคัญไปที่การตัดกันของเส้น %K และ %D โดยเมื่อไรที่เส้น %K ตัดกับเส้น %D ก็จะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Crossover” ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของราคา แต่การดู Crossover ของ Stochastic มีข้อที่ต้องระวังมากกว่า RSI ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
| สัญญาณ | ความหมาย | 
| %K ตัด %D ลงมา | สัญญาณเตือนแนวโน้มขาลง | 
| %K ตัด %D ขึ้นไป | สัญญาณเตือนแนวโน้มขาขึ้น | 
⚠ การเกิด Crossover ของ Stoch จำเป็นต้องเกิดในโซน Overbought และ Oversold หรือมีการเกิด Divergence ร่วมด้วยเท่านั้น
วิธีดู Stochastic Crossover ในโซน Overbought

📢 จากตัวอย่าง เส้น %K ตัดเส้น %D ลงมา ส่งสัญญาณการเกิด Crossover ในโซน Overbought ซึ่งเป็นสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า
วิธีดู Stochastic Crossover ในโซน Oversold

📢 จากตัวอย่าง เส้น %K ตัดเส้น %D ขึ้นไป ส่งสัญญาณการเกิด Crossover ในโซน Oversold ซึ่งเป็นสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า
แชร์เทคนิค! การใช้ระบบเทรด Stochastic Oscillator (เทรดสั้น)
ในหัวข้อนี้ เราจะแบ่งการเทรดสั้นออกเป็น 3 รูปแบบ ได้แก่ การเทรดแบบ Day Trading, Scalping และ Swing Trading โดยมีรายละเอียด ดังนี้
| รูปแบบการเทรดสั้น | การตั้งค่า Stochastic | 
| Day Trading | 15, 3, 3 | 
| Scalping | 13, 8, 8 | 
| Swing Trading | 6, 3, 3 | 
1. Day Trading: ตั้งค่า Stochastic Oscillator 15, 3, 3

เทคนิคสำหรับ Day Trading ของ Stochastic
- เหมาะกับการใช้ Timeframe (TF) 1H
- ใช้กับคู่สกุลเงินหลักได้ดี เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY และ USD/CHF รวมถึงการเทรดทอง
- ใช้ Pivot Point เพื่อกำหนดจุด Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)
- ใช้อินดิเคเตอร์ Bollinger Bands (BB) เพื่อใช้ดูแนวโน้ม และยืนยันสัญญาณเข้าซื้อขาย
สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบ
- กราฟแท่งเทียน “ปิดใต้” กรอบ BB
- Stochastic Oscillator อยู่ต่ำกว่าระดับ 20 (Oversold)
- Stochastic Oscillator ตัดเส้น 20 ขึ้นไป หรือตัด Oversold ขึ้นไป
สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบ
- กราฟแท่งเทียน “ปิดเหนือ” กรอบ BB
- Stochastic Oscillator อยู่เหนือกว่าระดับ 80 (Overbought)
- Stochastic Oscillator ตัดเส้น 80 ลงมา หรือตัด Overbought ลงมา
2. Scalping Trading: ตั้งค่า Stochastic Oscillator 13, 8, 8

เทคนิคสำหรับ Scalping Trading ของ Stochastic
- ใช้ Pivot Point โดยตั้งค่าบน TF 1H เพื่อกำหนดจุด Take Profit (TP) และ Stop Loss (SL)
- ใช้ TF 30M เพื่อดูแนวโน้มภาพรวม
- หลังจากนั้น ใช้ TF 5M เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย
- ใช้กับคู่สกุลเงินหลักได้ดี เช่น EUR/USD, GBP/USD, GBP/JPY, USD/JPY, AUD/USD, EUR/JPY และ USD/CHF
สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบ
- ใช้ TF 30M เพื่อดูว่า Stochastic Oscillator เป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือไม่
- Stochastic Oscillator ต้องตัดเส้น 20 ขึ้นไป (Oversold) หรือเพิ่งผ่านระดับ 50 ขึ้นไป
- จากนั้นใช้ TF 5M เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย
สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบ
- ใช้ TF 30M เพื่อดูว่า Stochastic Oscillator เป็นแนวโน้มขาลงหรือไม่
- Stochastic Oscillator ต้องตัดเส้น 80 ลงมา (Overbought) หรือเพิ่งหลุดระดับ 50 ลงไป
- จากนั้นใช้ TF 5M เพื่อหาจังหวะเข้าซื้อขาย
3. Swing Trading: ตั้งค่า Stochastic Oscillator 6, 3, 3

เทคนิคสำหรับ Swing Trading ของ Stochastic
- SMA (150)
- RSI (3)
- ใช้ Pivot Point โดยตั้งค่าบน TF 1MN
สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบ
- ราคาต้องอยู่เหนือเส้น SMA (150)
- ค่า RSI ต้องอยู่ต่ำกว่า 30
- Stochastic Oscillator ต้องตัดระดับ 20 ขึ้นไป
สัญญาณที่การเปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบ
- ราคาต้องอยู่ใต้เส้น SMA (150)
- ค่า RSI ต้องอยู่สูงกว่า 70
- Stochastic Oscillator ต้องตัดระดับ 80 ลงมา
ข้อดีและข้อจำกัดของการตั้งค่า Stochastic แบบเร็ว Vs แบบช้า
| การตั้งค่า | ข้อดี | ข้อจำกัด | 
| การตั้งค่าแบบเร็ว (5,3,3 หรือ 6,3,3) | ▪ ตอบสนองไว เหมาะสำหรับการนำมาใช้จับความเคลื่อนไหวของราคาในช่วงสั้น ๆ ▪ ช่วยบอกจังหวะ Pullback ที่ชัดเจน ▪ เทรดเดอร์สามารถเปิดและปิดออเดอร์ได้หลายครั้งต่อวัน | ▪ มีโอกาสเจอสัญญาณหลอก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง | 
| การตั้งค่าแบบช้า (15,3,3 หรือ 13,8,8) | ▪ กรองสัญญาณหลอกได้ดีกว่าการตั้งค่าแบบเร็ว ▪ เหมาะกับการใช้งานกับแนวโน้มใหญ่ ๆ | ▪ มีโอกาสพลาดการเข้าเทรดในจุดที่เหมาะสม เนื่องจากบางครั้งสัญญาอาจจะมาช้า | 
ข้อควรระวัง: อินดิเคเตอร์ Stochastic เหมาะกับตลาด Sideway มากกว่าช่วงที่มีแนวโน้มรุนแรง เพราะในช่วงที่ราคาวิ่งตามเทรนด์อย่างรุนแรง อินดิเคเตอร์อาจติดอยู่ในโซน Overbought หรือ Oversold นานเกินไป ทำให้สัญญาณอาจไม่น่าเชื่อถือ
เงื่อนไขการใช้ Stochastic Oscillator
Stochastic เป็นอินดิเคเตอร์ที่ให้สัญญาณค่อนข้างเร็ว ทำให้เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้ในการเทรดสั้น แต่ความเร็วในการให้สัญญาณต้องแลกมาด้วยการเจอ “สัญญาณหลอก” ค่อนข้างมาก ดังนั้น การใช้งาน Stochastic ให้มีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องมีการยืนยันสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ตัวอื่นทุกครั้ง เพื่อเพิ่มความแม่นยำก่อนการเปิดออเดอร์
📢 Traderbobo แนะนำ
เรียนรู้การใช้อินดิเคเตอร์อื่น ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน Stochastic ได้จากบทความที่พี่โบ้ได้จัดทำมาไว้ให้ด้านล่างนี้ 👇📈
. . . . . . . . . 🐶 . . . . . . . . .
สรุปเกี่ยวกับ Stochastic Oscillator Indicator
Stochastic (STO, Stoch) คือ อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต ซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล และมีการใช้งานอย่างแพร่หลายทั่วโลกโดยเฉพาะในการเทรดสั้น เนื่องจาก Stochastic Oscillator ให้สัญญาณที่เร็วกว่าอินดิเคเตอร์ตัวอื่น และสามารถใช้ประโยชน์จากการดูสัญญาณได้อย่างหลากหลาย
- ใช้ดูภาวะ Overbought และ Oversold
- ใช้ดูสัญญาณการกลับตัว (Reversal)
- ใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
- สามารถใช้ดูจุดเข้าซื้อขายด้วย Crossover
- สามารถใช้ดูจุดเข้าซื้อขายด้วย Divergence
แต่ด้วยการให้สัญญาณที่รวดเร็ว ทำให้การใช้ Indicator ตัวนี้ในการเทรดมักพบเจอกับสัญญาณหลอกได้ง่าย จึงจำเป็นมากที่ต้องดูสัญญาณยืนยันหลายอย่างประกอบกัน เพื่อลดโอกาสผิดพลาดในการเทรด
นอกจากนี้ Stochastic Oscillator ยังสามารถใช้ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ได้ค่อนข้างดี ซึ่งในการวิเคราะห์กราฟราคา เทรดเดอร์ส่วนใหญ่จะนิยมใช้อินดิเคเตอร์ 2 ตัวขึ้นไป เพื่อคอนเฟิร์มสัญญาณการเข้าซื้อขายให้แน่ชัด และทำให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากที่สุด
*หมายเหตุ: บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้ ไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนแต่อย่างใด และการลงทุนไม่ว่าจะในตลาดใดล้วนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจทุกครั้งครับ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ Stochastic Oscillator
Stochastic อ่านว่าอะไร?
Stochastic อ่านว่า สะ-โต-แคช-ติค
STO ย่อมาจากอะไร?
STO ย่อมาจาก Stochastic Oscillator หรือบางคนเรียกว่า Stoch
การเทรดโดยใช้ Stochastic เหมาะกับการเทรดแบบไหน?
การเทรด Stochastic เหมาะกับการเทรดสั้นมากกว่า เนื่องจาก STO ให้สัญญาณค่อนข้างเร็ว แต่ก็สามารถพบสัญญาณหลอกได้ง่ายเช่นกัน
Stochastic บอกอะไรได้บ้าง?
- ภาวะ Overbought และ Oversold
- สัญญาณการกลับตัว (Breakout)
- คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
- จุดเข้าซื้อขายด้วย Crossover
- จุดเข้าซื้อขายด้วย Divergence
RSI กับ Stochastic ต่างกันอย่างไร?
RSI กับ Stochastic ต่างกันทั้งการให้สัญญาณ, ค่ามาตรฐาน, แนวคิด, Crossover และการใช้งาน ซึ่งคุณสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้ที่ ความแตกต่างของ RSI และ Stochastic
ค่ามาตรฐาน Stochastic Oscillator เท่าไร?
ค่ามาตรฐาน Stochastic Oscillator อยู่ที่ 5, 3, 3
การตั้งค่า Stochastic 9, 3, 3 คืออะไร?
การตั้งค่า Stochastic 9, 3, 3 คือ การตั้งค่าที่ใช้ในการเทรดสั้นแบบ Swing Trading
การตั้งค่า Stochastic 14, 3, 3 คืออะไร?
การตั้งค่า Stochastic 14, 3, 3 คือ ค่าที่นิยมของ Stochastic Oscillator
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page
 
								

 
								 
 
								



 
								






 
								




