
Futures Trading คือ สัญญาระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยเป็นการกำหนดราคาในวันนี้ แต่จะส่งมอบของในอนาคต ตอบโจทย์สำหรับสายเก็งกำไรที่มองหาโอกาสในทุกจังหวะของตลาด🔥
✅ ใช้เงินวางประกันน้อย แต่ควบคุมสัญญาขนาดใหญ่ได้
✅ เก็งกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง
✅ ไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง ก็สามารถทำกำไรจากราคาสินค้าได้
✅ อ้างอิงราคาจากดัชนี SET50, ทองคำ, น้ำมัน หรือหุ้นรายตัว
✅ สุดยอดเครื่องมือบริหารความเสี่ยง สำหรับพอร์ตลงทุนและนักเก็งกำไรมืออาชีพ
. . . . . . . . . . . . . . .
การลงทุนในหุ้นยังคงเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับนักลงทุนไทย เนื่องจากให้ความมั่นคงและมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่ถือหุ้นรายตัวมักเผชิญกับข้อจำกัดด้านการทำกำไร เพราะจะเกิดผลตอบแทนก็ต่อเมื่อราคาหุ้น “ขึ้น” เท่านั้น ทำให้ในช่วงตลาดขาลง นักลงทุนจำนวนไม่น้อยเริ่มมองหาทางเลือกใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งในด้านโอกาสทำกำไรและการป้องกันความเสี่ยง เช่น DW และ Options
แต่ถ้าคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่สามารถ เก็งกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง, ใช้เงินลงทุนต่ำกว่าแต่ควบคุมสัญญาขนาดใหญ่ได้ อีกทั้งยังสามารถอ้างอิงราคาได้จากสินทรัพย์หลากหลายประเภท ทั้งดัชนี, SET50, ทองคำ, น้ำมัน และหุ้นรายตัว การเทรด “Futures” อาจเป็นคำตอบของคุณ โดย Futures Trading ไม่เพียงเป็นทางเลือกในการทำกำไรในทุกสภาวะตลาด แต่ยังเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพสูง เหมาะทั้งสำหรับนักลงทุนสายเทรดและผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงในพอร์ตหุ้นอย่างแท้จริง 🔥
. . . . . . . . . . . . . . .
ในบทความนี้ เราจะอธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับ การเทรด Futures คืออะไร? และคุณควรรู้อะไรบ้างก่อนเริ่มต้นลงทุน พร้อมยกตัวอย่างการซื้อขาย Futures ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่เทรดเดอร์ เนื่องจากสามารถเก็งกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง หลายคนอาจมองว่า Futures เป็นเรื่องซับซ้อน และมีความเสี่ยงสูง แต่ในความเป็นจริง หากเข้าใจหลักการและบริหารความเสี่ยงเป็น Futures ก็เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเพิ่มผลตอบแทนให้พอร์ตของคุณ
ที่สำคัญ Futures ยังเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มืออาชีพใช้เพื่อ ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการลงทุนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย
*หมายเหตุ: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง และบทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น มิได้มีเจตนาเพื่อแนะนำให้ลงทุนแต่อย่างใด
. . . . . . . . . . . . . . .
⭐ Step1 : สิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนเริ่มเทรด ⭐
คำศัพท์ที่คุณต้องรู้ก่อนเริ่มเทรด Futures
คำศัพท์ | ความหมาย | คำอธิบายเพิ่มเติม |
Futures Contract | สัญญาซื้อขายล่วงหน้า | เป็นสัญญาที่ผู้ซื้อและผู้ขายตกลงกันล่วงหน้าว่าจะซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงในปริมาณและราคาที่กำหนด ณ วันที่ในอนาคต |
Underlying Asset | สินทรัพย์อ้างอิง | ในตลาด Futures ไทย มักอ้างอิงกับดัชนี SET50 Index, ทองคำ หรือสินค้าเกษตรบางประเภท |
Long Position | สถานะของผู้ซื้อ Futures | คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัว “สูงขึ้น” จึงเปิดสถานะซื้อเพื่อทำกำไรเมื่อราคาขึ้น |
Short Position | สถานะของผู้ขาย Futures | คาดว่าราคาสินทรัพย์อ้างอิงจะปรับตัว “ลดลง” จึงเปิดสถานะขายเพื่อทำกำไรเมื่อราคาลง |
Symbol | สัญลักษณ์ของสัญญา Futures | ตัวอย่างเช่น S50M25 หมายถึง สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่อ้างอิงดัชนี SET50 หมดอายุในเดือนมิถุนายน ปี 2025 |
Last Trading Date | วันซื้อขายวันสุดท้าย | คือวันที่สุดท้ายที่สามารถซื้อขายสัญญานั้น ๆ ได้ ก่อนถึงวันส่งมอบ |
Settlement Price | ราคาชำระราคาสุดท้าย | ราคาที่ใช้คำนวณกำไร/ขาดทุนในวันสุดท้ายของสัญญา |
Margin | เงินวางหลักประกัน | เงินที่โบรกเกอร์เรียกวางไว้เพื่อค้ำประกันการเปิดสถานะในตลาด Futures โดยมีทั้ง Initial Margin และ Maintenance Margin |
Leverage | อัตราทดในการลงทุน | Futures ใช้เงินลงทุนน้อยกว่ามูลค่าที่ควบคุม ทำให้มีโอกาสทำกำไรสูง แต่ก็มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นในสัดส่วนเดียวกัน |
Mark to Market (MTM) | การประเมินมูลค่ารายวัน | กำไรหรือขาดทุนจะถูกคำนวณทุกวันตามราคาปิดของสัญญา Futures และอัปเดตเงินในบัญชี Margin ของคุณ |
Open Interest | จำนวนสัญญาคงค้าง | แสดงถึงความสนใจของนักลงทุนในสัญญานั้น ๆ หาก Open Interest สูง แสดงว่าตลาดมีสภาพคล่องดี |
Volume | ปริมาณการซื้อขาย | จำนวนครั้งที่มีการซื้อขายสัญญา Futures ในช่วงเวลาหนึ่ง สะท้อนความนิยมและแรงซื้อขายในตลาด |
Tick Size | หน่วยการเปลี่ยนแปลงของราคา | เช่น SET50 Futures มี Tick Size = 0.1 จุด คิดเป็นมูลค่า 200 บาท |
Tick Value | มูลค่าที่เปลี่ยนแปลงต่อ Tick | ใน SET50 Futures แต่ละ Tick เท่ากับ 200 บาท ต่อ 1 สัญญา |
Hedging | กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยง | นักลงทุนสามารถใช้ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่น การใช้ Futures ป้องกันการขาดทุนจากหุ้นที่ถืออยู่ |
Speculation | การเก็งกำไรจากราคาขึ้นหรือลง | นักลงทุนที่มองทิศทางราคาจะเปิดสถานะ Long หรือ Short เพื่อทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในอนาคต |
Basis | ส่วนต่างระหว่างราคา Spot และ Futures | ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจความสัมพันธ์ของราคาปัจจุบันกับราคาล่วงหน้า |
Cash Settlement | การชำระราคาเป็นเงินสด | Futures ส่วนใหญ่ในตลาดไทย เช่น SET50 จะไม่มีการส่งมอบสินค้าจริง แต่จะชำระกำไร/ขาดทุนเป็นเงินสด ยกเว้นบางสัญญา เช่น Rubber Futures ที่มีการส่งมอบสินค้าจริง |
Expiration Date | วันหมดอายุของสัญญา Futures | วันที่สัญญาจะสิ้นสุดอายุ โดยหลังจากวันดังกล่าวจะไม่สามารถซื้อขายสัญญานั้นได้อีก |
. . . . . . . . . . . . . . .
⭐ Step2 : ทำความรู้จักกับการเทรด Futures ⭐
การเทรด Futures คืออะไร? มีลักษณะอย่างไร?

Futures คืออะไร?
ฟิวเจอร์ส (Futures) คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่เป็นหนึ่งในตราสารอนุพันธ์ โดยคุณสามารถเป็นได้ทั้ง “ผู้ซื้อ (Long Position)” และ “ผู้ขาย (Short Position)” โดยตกลงราคาซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิงกันล่วงหน้า ณ เวลาปัจจุบัน แต่จะส่งมอบกันในอนาคต
Futures จึงเป็นเครื่องมือที่สามารถทำกำไรได้ทั้งในช่วงที่ตลาดกำลัง ขาขึ้น และ ขาลง เพราะคุณสามารถเลือกสถานะที่ตรงกับมุมมองตลาดของคุณได้ โดยไม่จำเป็นต้องถือสินทรัพย์จริง และยังใช้ต้นทุนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อหุ้นแบบปกติ เพราะใช้หลักการวาง Margin (เงินประกัน) แทนการจ่ายเต็มจำนวน
ในประเทศไทย การซื้อขาย Futures จะทำผ่านตลาด TFEX ซึ่งรองรับทั้ง SET50 Index Futures (ที่อ้างอิงดัชนีหุ้นชั้นนำ) และ Futures ที่อ้างอิงกับสินทรัพย์อื่น เช่น ทองคำ, น้ำมัน หรือค่าเงินบาท
หมายเหตุ: อนุพันธ์ (Derivatives) คือ สัญญาทางการเงินที่ทำขึ้นเพื่อให้สิทธิในการซื้อหรือขาย “สินค้าอ้างอิง” (Underlying Asset) เช่น ดัชนี, หุ้น หรือสินค้าโภคภัณฑ์
สินค้าอ้างอิงของ Futures คืออะไร?
สินค้าอ้างอิงของ Futures คือ ตัวกำหนดมูลค่าของสัญญาฟิวเจอร์สที่คุณทำการซื้อขาย ว่าจะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลงตามสินทรัพย์ใด ซึ่งปัจจุบันการเทรด Futures ในประเทศไทยสามารถอ้างอิงได้หลากหลาย ไม่ได้จำกัดแค่ดัชนีเท่านั้น
ตัวอย่างสินค้าอ้างอิงของ Futures ที่ได้รับความนิยมในตลาด TFEX ได้แก่
▪ ดัชนี SET50 (SET50 Index Futures)
▪ หุ้นรายตัว เช่น PTT, KBANK, ADVANC (Single Stock Futures)
▪ ทองคำแท่ง 96.5% (Gold Futures)
▪ อัตราแลกเปลี่ยน USD/THB (USD Futures)
▪ ราคาน้ำมัน (Commodity Futures)
ข้อดีของการเทรดสัญญา Futures คืออะไร?
เทรด Futures ดียังไง? |
▪ ใช้เงินลงทุนต่ำกว่าการถือครองหุ้นจริงแบบเต็มตัว |
▪ เทรดได้ทั้งในสภาวะตลาดขาขึ้นและขาลงอย่างมีประสิทธิภาพ |
▪ สามารถเปิดสถานะได้ทั้ง “Long” และ “Short” ตามมุมมองตลาด |
▪ ช่วยป้องกันความเสี่ยงจากพอร์ตหุ้นรายตัวและสินทรัพย์อื่น ๆ |
▪ เป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรและบริหารพอร์ตอย่างมืออาชีพ |
▪ มีความยืดหยุ่นในการจัดการความเสี่ยง และสามารถตั้ง Stop Loss ได้ง่าย |
▪ เหมาะกับการทำกำไรในช่วงตลาด Sideway หรือผันผวน |
▪ ค่าธรรมเนียมการเทรดมักต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นรายตัว |
▪ ไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์เชิงเทคนิคอย่างลึกซึ้งเท่าสินทรัพย์บางประเภท |
ความเสี่ยงของการเทรด Futures คืออะไร?
ความเสี่ยงของการเทรด Futures |
▪ ความเสี่ยงด้านราคาดัชนีอ้างอิง (Market Risk) |
▪ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าสัญญา (Price Fluctuation Risk) |
▪ ความเสี่ยงจากการใช้ Leverage สูง (Leverage Risk) |
▪ ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) |
ความแตกต่างระหว่าง Futures กับ Options ต่างกันอย่างไร?
Futures | Options | |
ประเภทของสัญญา | สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (ซื้อ/ขาย) | สิทธิซื้อ (Call) และสิทธิขาย (Put) |
สถานะของผู้ใช้สัญญา | ผู้ซื้อ (Long) และผู้ขาย (Short) | ผู้ซื้อสิทธิ (Long) และผู้ขายสิทธิ (Short) |
สินค้าอ้างอิง | สินค้าอ้างอิงหลากหลาย เช่น ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์ และหุ้น | ดัชนี SET50 หรือหุ้นรายตัว |
การกำหนดเงื่อนไขสัญญา | กำหนดโดยตลาด TFEX หรือโบรกเกอร์ | กำหนดโดยตลาด TFEX |
การใช้สิทธิ | บังคับส่งมอบในวันครบกำหนดสัญญา | สามารถเลือกใช้สิทธิหรือไม่ก็ได้ (Options ใน TFEX ส่วนใหญ่เป็นแบบ European Style คือใช้สิทธิได้เฉพาะวันหมดอายุ) |
ผลตอบแทนที่จะได้รับ | กำไร/ขาดทุนจากความแตกต่างของราคา | กำไร/ขาดทุนจากสิทธิและค่าพรีเมียม |
ลักษณะและข้อกำหนดของ SET50 Index Futures
ลักษณะและข้อกำหนดของ SET50 Index Futures | |
สินค้าอ้างอิง (Spot Price) | ดัชนี SET50 Index ที่คำนวณและเผยแพร่โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย |
ตัวคูณดัชนี (Lot Size) | 200 บาท ต่อ 1 จุด หมายเหตุ: เมื่อคุณซื้อหรือขาย Futures จำนวน 1 สัญญา ได้การคิดกำไรขาดทุนต้องทำการคูณด้วย 200 ทุกครั้ง |
เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ | ▪ H = ส่งมอบเดือน มี.ค. ▪ M = ส่งมอบเดือน มิ.ย. ▪ U = ส่งมอบเดือน ก.ย. ▪ Z = ส่งมอบเดือน ธ.ค. *หมายเหตุ: ส่งมอบในวันทำการวันสุดท้ายของแต่ละเดือน และสัญญาจะสิ้นสุดเวลา 16.30 น. |
ช่วงเวลาซื้อขายขั้นต่ำ | 0.1 จุด |
การเปลี่ยนแปลงของราคาสูงสุดแต่ละวัน | ± 30% ของระดับที่ดัชนี SET50 Index ปิด ณ วันซื้อขายก่อนหน้า |
เวลาซื้อขาย | Pre Open 9.15 - 9.45 น. Morning Session 9.45 - 12.30 น. Pre Open 14.00 - 14.30 น. Afternoon Session 14.30 - 16.55 น. |
ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย | ไม่เกิน 10 บาทต่อสัญญา โดยเรียกเก็บทั้ง Long และ Short หมายเหตุ : ขึ้นอยู่กับโบรกเกอร์และโปรโมชันในแต่ละช่วงเวลา โปรดตรวจสอบกับโบรกเกอร์ของคุณอีกครั้ง |
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อราคา Futures คืออะไร?

ปัจจัยที่ส่งผลต่อการขึ้นหรือลงของราคา Futures สามารถแบ่งออกได้เป็น 6 ปัจจัยหลัก โดยมีรายละเอียดดังนี้
- ราคาสินค้าอ้างอิง (Spot Price)
- อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates)
- เงินปันผลของสินค้าอ้างอิง (Dividend)
- ระยะเวลาที่เหลืออยู่จนถึงวันครบกำหนดอายุ (Time to Maturity)
- ความผันผวนของสินค้าอ้างอิง (Volatility)
- ปัจจัยอื่น ๆ (Other Factors)
ปัจจัย | ผลกระทบต่อราคา Futures |
ราคาสินค้าอ้างอิง (Spot Price) | ราคาสินค้าอ้างอิงที่สูงขึ้นจะทำให้ราคาฟิวเจอร์สสูงขึ้น และเมื่อราคาสินค้าอ้างอิงลดลง ราคาฟิวเจอร์สก็จะลดลงตาม |
อัตราดอกเบี้ย (Interest Rates) | เมื่ออัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ราคาฟิวเจอร์สมักจะสูงขึ้น เพราะต้นทุนการถือครอง (cost of carry) เพิ่มขึ้น |
เงินปันผลของสินค้าอ้างอิง (Dividend) | หากสินค้าอ้างอิงเป็นหุ้นหรือดัชนีที่จ่ายเงินปันผลสูงขึ้น ราคาฟิวเจอร์สจะปรับลดลง เนื่องจากเงินปันผลลดมูลค่าของสัญญา |
ระยะเวลาที่เหลืออยู่จนถึงวันครบกำหนดอายุ (Time to Maturity) | ยิ่งเวลานาน ราคาฟิวเจอร์สมักจะปรับสูงขึ้นตามต้นทุนการถือครอง ส่วนเวลาสั้น ราคาฟิวเจอร์สมักเข้าใกล้ราคาสินค้าอ้างอิงมากขึ้น |
ความผันผวนของสินค้าอ้างอิง (Volatility) | ความผันผวนมีผลต่อตราสารอนุพันธ์ แต่ใน Futures ผลกระทบน้อยกว่า Options โดยราคาฟิวเจอร์สมักไม่ผันผวนตามความผันผวนมากนัก |
ปัจจัยอื่น ๆ (Other Factors) | เช่น ภาวะอุปสงค์อุปทาน, ข่าวสารตลาด หรือเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ สามารถส่งผลต่อราคาฟิวเจอร์สได้เช่นกัน |
สัญลักษณ์ที่ใช้ซื้อขาย Futures
ในการเทรด Futures จำเป็นต้องเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์ที่ใช้ในการซื้อขาย เพื่อที่คุณจะได้เลือกลงทุนอย่างถูกต้อง และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยในตลาด TFEX จะมีชื่อย่อหรือสัญลักษณ์ดังนี้

ตัวอย่างสัญลักษณ์
- S50M25 คือ สัญญา Futures ที่อ้างอิงดัชนี SET50 หมดอายุเดือนมิถุนายน ปี 2025
- S50Z24 คือ สัญญา Futures ที่อ้างอิงดัชนี SET50 หมดอายุเดือนธันวาคม ปี 2024
โดยแต่ละตัวย่อมีความหมาย ดังนี้
สัญลักษณ์ | ความหมาย |
S50 | สินค้าอ้างอิง คือ SET50 Index |
H / M / U / Z | รุ่นของ Futures ซึ่งจะบ่งบอกถึงเดือนในการส่งมอบ (หมดอายุ) โดยแบ่งตามไตรมาสทุก 3 เดือน ▪ H = ส่งมอบเดือน มี.ค. ▪ M = ส่งมอบเดือน มิ.ย. ▪ U = ส่งมอบเดือน ก.ย. ▪ Z = ส่งมอบเดือน ธ.ค. |
25 | ปีที่ส่งมอบ (หมดอายุ) เช่น 25 = ปี 2025 |
Futures | บ่งบอกประเภทของสัญญา คือ สัญญา Futures |
. . . . . . . . . . . . . .
⭐ Step3 : ตัวอย่างการเทรด Futures ในสนามจริง ⭐
สำหรับตัวอย่างการเทรด เพื่อจำลองการลงสนามจริง เราจะแบ่งการอธิบายออกเป็น 6 หัวข้อหลัก เพื่อความเข้าใจง่าย และเป็นแนวทางในการเทรด Futures ของคุณ โดยมีรายละเอียดดังนี้
- เลือกลงทุนใน Futures ง่าย ๆ
- การคิดต้นทุนของการเปิดสัญญา Futures
- การคิดกำไรและขาดทุนในการเทรด Futures
- กลยุทธ์การเทรด Futures
- ลักษณะของสัญญา Futures
- ตัวอย่างการซื้อขาย Futures
4 ขั้นตอน! การเลือกลงทุนใน Futures ง่าย ๆ
- เลือก Underlying หรือ ดัชนี SET50 Index ที่คุณสนใจ
- วิเคราะห์กราฟราคาดัชนี SET50 Index ว่า คุณควรเทรดไปในทิศทางใด (Long หรือ Short)
- เลือกรุ่นของสัญญา Futures ซึ่งจะบ่งบอกว่าสัญญาจะหมดอายุในวันและเดือนใด
- กำหนดจำนวนสัญญาที่คุณต้องการเปิดตามแผนการลงทุนและความเสี่ยงที่ยอมรับได้
การคิดต้นทุนของ Long Futures และ Short Futures
Long Futures | Short Futures | |
ต้นทุนที่ต้องจ่าย (Total Cost) | ▪ ค่าธรรมเนียมซื้อขาย ▪ ค่าภาษี ▪ วางหลักประกัน (Margin) ตามที่โบรกเกอร์กำหนด | ▪ ค่าธรรมเนียมซื้อขาย ▪ ค่าภาษี ▪ วางหลักประกัน (Margin) ตามที่โบรกเกอร์กำหนด |
การวางหลักประกัน (Margin) | ต้องวางหลักประกันตามมูลค่าของสัญญา และอาจต้องเพิ่มหากมูลค่าตลาดเปลี่ยนแปลง | ต้องวางหลักประกันตามมูลค่าของสัญญา และอาจต้องเพิ่มหากมูลค่าตลาดเปลี่ยนแปลง |
กำไรที่ได้รับ (Profit) | รับกำไรเมื่อราคาสินค้าอ้างอิงปรับตัวขึ้น และปิดสัญญาหรือหมดอายุสัญญา | รับกำไรเมื่อราคาสินค้าอ้างอิงปรับตัวลง และปิดสัญญาหรือหมดอายุสัญญา |
โดยสรุปคือ ทั้ง Long และ Short Futures มีต้นทุนหลักเหมือนกัน แต่กำไรจะขึ้นอยู่กับทิศทางราคาสินค้าอ้างอิงที่คุณถือสัญญาไว้นั่นเองครับ
การคิดกำไรและขาดทุนในการเทรด Futures
การคิดกำไรและขาดทุนจะขึ้นอยู่กับราคาสินค้าอ้างอิง ณ จุดเปิดและปิดสัญญา รวมถึงขนาดของสัญญา (Lot Size) โดยมีรายละเอียดดังนี้
- กำไรและขาดทุนสูงสุดของแต่ละสัญญา Futures
- จุดคุ้มทุนของสัญญา Futures
- สูตรการคิดกำไรขาดทุนของสัญญา Futures
1. กำไรและขาดทุนสูงสุดของแต่ละสัญญา Futures
กำไรสูงสุด | ขาดทุนสูงสุด | |
Long Futures | ไม่จำกัด | ไม่จำกัด |
Short Futures | ไม่จำกัด | ไม่จำกัด |
2. จุดคุ้มทุนของแต่ละสัญญา Futures
จุดคุ้มทุน = ราคาสินค้าอ้างอิง ณ จุดเปิดสัญญา
3. สูตรการคิดกำไรขาดทุนของสัญญา Futures
กำไรขาดทุน | |
Long Futures | (ราคาปิดสัญญา - ราคาต้นทุน) × ขนาดสัญญา (Lot Size) |
Short Futures | (ราคาต้นทุน - ราคาปิดสัญญา) × ขนาดสัญญา (Lot Size) |
- ราคาต้นทุน คือ ราคาที่เปิดสัญญา Futures
- ราคาปิดสัญญา คือ ราคาที่ปิดสัญญา Futures
- กำไรและขาดทุนไม่มีจำกัด เพราะราคาสินค้าอ้างอิงสามารถขึ้นหรือลงได้ไม่จำกัด
*หมายเหตุ: สูตรนี้ยังไม่รวมค่าธรรมเนียมและภาษี โปรดคำนวณต้นทุนรวมก่อนตัดสินใจเทรด
กลยุทธ์การเทรด Futures
1. ใช้เทคนิคการเทรด Futures แบบทั่วไป
ถือสัญญาจนหมดอายุ (Hold to Maturity) | กรณีใช้สิทธิก่อนหมดอายุออปชัน (Trading) | |
ระยะเวลาการถือสัญญา | ▪ 1 เดือนขึ้นไป | ▪ 1 วัน, 2 วัน, 1 สัปดาห์ หรือไม่เกิน 1 เดือน |
วัตถุประสงค์ | ▪ ใช้บริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน หรือทำกำไรจากแนวโน้มราคาที่คาดการณ์ในระยะยาว | ▪ เก็งกำไรจากความผันผวนของราคาในระยะสั้น |
การเตรียมตัวที่สำคัญ | ▪ ต้องเตรียมหลักประกันในการเปิดสัญญา และสามารถถูกเรียกเก็บหลักประกันเพิ่มได้ (Margin Call) หากขาดทุนเกินระดับที่กำหนด | ▪ ต้องมีความเข้าใจในการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อจับจังหวะเข้าออกสัญญาในระยะสั้น ▪ ควรติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา |
2. ใช้ Futures เพื่อป้องกันความเสี่ยง
แม้ว่าการเทรด Futures จะมีลักษณะที่ต้องวางหลักประกัน และมีความเสี่ยงจากการขาดทุนแบบไม่มีขีดจำกัด แต่ Futures ก็ถือเป็นเครื่องมือที่สำคัญมากในการใช้ป้องกันความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน หรือเพื่อสร้างโอกาสในการทำกำไรในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
กรณีตลาดเป็น Sideway สามารถใช้กลยุทธ์ได้ดังนี้
- ใช้ Futures สร้างกลยุทธ์ Hedging เพื่อชดเชยผลขาดทุนจากพอร์ตลงทุนในหุ้น
- วางแผนเปิดสถานะในทิศทางตรงข้ามกับพอร์ตหลัก เพื่อรักษาสมดุลในช่วงที่ราคายังไม่ไปในทิศทางใดแน่ชัด
- หากคุณถือหุ้นรายตัวในกลุ่ม SET50 ที่มีแนวโน้มเข้าสู่ Sideway คุณสามารถใช้ Futures ในการเปิดสถานะฝั่ง Short หรือ Long ตามการวิเคราะห์เทคนิค เพื่อทำกำไรระยะสั้น หรือลดความเสียหายจากต้นทุนการถือหุ้น
เมื่อราคาสินค้าอ้างอิงเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ แบบไม่มีแนวโน้มชัดเจน (Sideway) การเทรด Futures แบบ Short-Term Trading อาจนำไปสู่การขาดทุนบ่อยครั้งจากการถูกกระทบด้วย Stop Loss หรือแรงเหวี่ยงของราคา แม้จะเป็นเพียงการเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็ตาม
3. การใช้ Futures ในกรณีอื่น ๆ
- ทำกำไรจากการลงของราคา ได้โดยการเปิดสถานะ Short
- ใช้ Leverage เพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน แม้ใช้เงินลงทุนน้อยกว่า
- ทำการป้องกันความเสี่ยงจากราคาสินทรัพย์หลัก ที่อาจผันผวนรุนแรงในอนาคต
องค์ประกอบของการซื้อขาย Futures
หากคุณได้ศึกษามาถึงจุดนี้แล้ว คงเริ่มเข้าใจรูปแบบการเทรด Futures ในเบื้องต้น โดยเมื่อคุณเข้าไปในโปรแกรมเทรด Futures หน้าจอการซื้อขายจะมีลักษณะคล้ายกับการซื้อขายหุ้น โดยมีองค์ประกอบสำคัญ 3 อย่าง ดังนี้
- ราคา Bid คือ ราคาที่ผู้ซื้อเสนอเข้ามาเพื่อซื้อสัญญา Futures
- ราคา Offer คือ ราคาที่ผู้ขายต้องการขายสัญญา Futures
- Spot Price คือ ราคาดัชนี SET50 Index หรือราคาสินค้าอ้างอิง ณ ปัจจุบัน

ตัวอย่างการซื้อขาย Futures
สมมติว่า ณ วันที่ 10 กันยายน 2565 ราคาดัชนี SET50 Index อยู่ที่ 966.93 จุด โดยคุณวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วคาดการณ์ว่า ดัชนีมีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ข้างหน้า คุณจึงตัดสินใจเปิด Long Futures (ซื้อสัญญา Futures) รุ่น U ที่มีราคาอยู่ที่ 970 จุด
ต้นทุนที่คุณต้องวางเป็นหลักประกัน (Margin)
สมมติว่า SET50 Futures มีราคาต่อสัญญาเท่ากับ 200 บาทต่อ 1 จุด
ดังนั้น ต้นทุนที่แท้จริงไม่ได้เป็นราคาสัญญาทั้งหมด แต่เป็นจำนวนเงินวางหลักประกันเริ่มต้นที่ต้องใช้เพื่อเปิดสถานะ
เช่น
- Initial Margin = 50,000 บาท
(จำนวนนี้ขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของตลาด TFEX และโบรกเกอร์ อาจเปลี่ยนแปลงได้ตามแต่ละช่วงเวลาและแต่ละประเภทสัญญา)
หากราคาปรับตัวขึ้นตามที่คาดการณ์ไว้ คุณจะเริ่มได้กำไรจากส่วนต่างของราคาสัญญา
1. กรณีปิดสถานะ Futures ก่อนครบกำหนด (ได้รับกำไร)
สมมติว่า หลังจากเปิด Long Futures ที่ราคา 970 จุด ผ่านไป 3 วัน ราคาดัชนี SET50 Futures เพิ่มขึ้นเป็น 980 จุด คุณจึงตัดสินใจปิดสถานะเพื่อทำกำไร
สูตร
(ราคาปิด – ราคาที่เปิด) x 200 = กำไร
(980 – 970) x 200 = 2,000 บาท
หมายความว่า คุณจะได้รับกำไร 2,000 บาท จากการเปลี่ยนแปลงของราคาดัชนีเพียง 10 จุด
*หมายเหตุ : ยังไม่รวม VAT และค่าธรรมเนียม
2. กรณีถือสัญญา Futures จนครบอายุ (ได้รับกำไร)
หากคุณมั่นใจว่าดัชนีจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง คุณอาจเลือกที่จะ Hold to Maturity หรือถือสัญญาไปจนหมดอายุ
สมมติว่า ดัชนี SET50 Futures ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1,000 จุดในวันครบอายุสัญญา
สูตร
(ราคาปิด – ราคาที่เปิด) x 200 = กำไร
(1,000 – 970) x 200 = 6,000 บาท
คุณจะได้รับกำไร 6,000 บาท หากถือสัญญาจนครบกำหนดและราคาปรับขึ้นตามคาดการณ์
3. กรณีราคาสัญญา Futures ไม่เป็นไปตามที่คาด (ขาดทุน)
สมมติว่า ดัชนี SET50 Futures ปรับตัวลดลงหลังจากที่คุณเปิด Long Futures ที่ราคา 970 จุด และราคาลดลงมาเหลือ 960 จุด
หากคุณตัดสินใจปิดสถานะเพื่อลดการขาดทุน จะมีผลขาดทุนดังนี้
สูตร
(ราคาปิด – ราคาที่เปิด) x 200 = ขาดทุน
(970 – 960) x 200 = 2,000 บาท
และหากราคายังคงลดลงจนถึงระดับที่ทำให้คุณถูกเรียกหลักประกันเพิ่ม (Margin Call) คุณจะต้องเติมเงินเข้าพอร์ต มิฉะนั้นระบบจะบังคับปิดสถานะเพื่อหยุดขาดทุน
สรุป Futures คืออะไร? มีลักษณะอย่างไร?
โดยทั่วไปนักลงทุนมือใหม่อาจเริ่มจากการเทรดหุ้นรายตัว ซึ่งสามารถทำกำไรได้เฉพาะในสภาวะตลาดขาขึ้นเท่านั้น แต่เมื่อเข้าสู่ตลาดที่มีความซับซ้อนมากขึ้น Futures กลายเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์สำหรับผู้ที่ต้องการทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดย Futures คือ สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Future Contract) ที่ตกลงซื้อขายสินทรัพย์อ้างอิง ณ ราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ซึ่งมีวันครบกำหนดที่แน่นอน
นักลงทุนสามารถเลือกเป็นทั้ง “ฝั่งซื้อ (Long Position)” และ “ฝั่งขาย (Short Position)” ได้ โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์อ้างอิงจริงก็สามารถเก็งกำไรจากส่วนต่างของราคาได้
การซื้อขาย Futures จะดำเนินการผ่านตลาด TFEX เช่นเดียวกับ Options ซึ่งสินทรัพย์อ้างอิงยอดนิยมคือดัชนี SET50 Index หรือที่เรียกกันว่า SET50 Futures โดยการลงทุนใน Futures ต้องมีการวางเงินประกัน (Margin) และสามารถใช้ Leverage เพื่อเพิ่มพลังการลงทุนได้ จึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีความเข้าใจเรื่องการบริหารความเสี่ยงเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม แม้ Futures จะเป็นที่นิยมในกลุ่มนักเก็งกำไร เพราะสามารถทำกำไรได้ในทุกสภาวะตลาด แต่ก็มีจุดที่ต้องระวัง เนื่องจาก Futures มีความผันผวนและขาดทุนได้แบบไม่จำกัด หากไม่มีการบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ดังนั้นนักลงทุนบางกลุ่มจึงนิยมใช้ Options ควบคู่กับ Futures เพื่อใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway)
หากคุณเป็นมือใหม่ที่ยังไม่มั่นใจในการบริหารพอร์ตแบบ Futures เต็มรูปแบบ อาจเริ่มจากการเรียนรู้การใช้ Block Trade หรือ Single Stock Futures ซึ่งเป็นการลงทุนที่อ้างอิงราคาหุ้นรายตัว และสามารถใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายได้ไม่ต่างจากหุ้น โดยใช้ต้นทุนที่ต่ำกว่า
ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเทรด Futures หรือ Options ต่างก็มีทั้งโอกาสและความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาเงื่อนไขของสัญญา กลไกของตลาด และเทคนิคการบริหารความเสี่ยงให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้สามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในทุกสภาวะตลาด
. . . . . . . . . . . . . . .
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Futures คืออะไร? มีลักษณะอย่างไร?
1. Futures คืออะไร?
ตอบ: Futures หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า คือข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า โดยจะส่งมอบหรือชำระราคากันในอนาคต มักใช้กับสินทรัพย์ เช่น น้ำมัน ทองคำ หุ้น ดัชนี และค่าเงิน
2. Futures ต่างจากหุ้นอย่างไร?
ตอบ: การซื้อหุ้นคือการลงทุนในสินทรัพย์จริง แต่ Futures เป็นเพียงสัญญา ไม่มีการเป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง นักลงทุนใน Futures สามารถทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง โดยใช้ Leverage ช่วยเพิ่มโอกาสและความเสี่ยง
3. สามารถเริ่มเทรด Futures ด้วยเงินเท่าไร?
ตอบ: จำนวนเงินเริ่มต้นขึ้นอยู่กับมาร์จิ้น (Margin) ของสินทรัพย์นั้น ๆ ซึ่งอาจเริ่มต้นเพียงไม่กี่พันบาท โดยใช้ Leverage ในการเพิ่มพลังการซื้อขาย เช่น SET50 Futures ใช้ Margin ประมาณ 10-15% ของมูลค่าสัญญา
4. Leverage คืออะไรในตลาด Futures?
ตอบ: Leverage คือการใช้เงินทุนเพียงบางส่วนเพื่อควบคุมสัญญาที่มีมูลค่ามากกว่าทุนจริง เช่น Leverage 1:10 หมายความว่าลงทุน 10,000 บาทสามารถควบคุมสัญญาที่มีมูลค่า 100,000 บาทได้
5. จะเทรด Futures ได้ต้องเปิดบัญชีกับที่ไหน?
ตอบ: นักลงทุนต้องเปิดบัญชี Futures กับบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ที่ได้รับอนุญาตจากตลาดอนุพันธ์ (TFEX ในไทย) พร้อมผ่านการทดสอบความรู้ก่อนเทรดจริง
6. TFEX คืออะไร?
ตอบ: TFEX (Thailand Futures Exchange) คือ ตลาดอนุพันธ์ของประเทศไทย อยู่ภายใต้ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ใช้เป็นแพลตฟอร์มกลางในการซื้อขาย Futures และ Options
7. Futures มีสินทรัพย์ประเภทไหนบ้าง?
ตอบ: ในตลาด TFEX มี Futures หลายประเภท เช่น
- SET50 Index Futures
- Gold Futures
- Oil Futures
- Stock Futures (หุ้นรายตัว)
- Currency Futures (USD Futures)
8. สามารถทำกำไรจาก Futures ได้ทั้งขาขึ้นและขาลงจริงหรือ?
ตอบ: จริง! นักเทรดสามารถ “Long” เมื่อคาดว่าราคาจะขึ้น หรือ “Short” เมื่อคาดว่าราคาจะลง ซึ่งต่างจากหุ้นที่ทำกำไรได้แค่ตอนราคาขึ้นเท่านั้น
9. Futures หมดอายุไหม?
ตอบ: ใช่ สัญญา Futures มีวันหมดอายุ (Expiry Date) ซึ่งผู้ถือสัญญาต้องปิดสถานะก่อน หรือปล่อยให้ระบบชำระราคาตามกลไกของตลาดในวันสุดท้าย
10. จะรู้ได้อย่างไรว่าควร Long หรือ Short?
ตอบ: ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ราคาตลาด ทั้งจากปัจจัยพื้นฐาน เช่น ข่าวเศรษฐกิจ และปัจจัยทางเทคนิค เช่น กราฟและอินดิเคเตอร์ เช่น MACD, RSI หรือแนวรับแนวต้าน
11. ความเสี่ยงของการเทรด Futures คืออะไร?
ตอบ: ความเสี่ยงสูง เนื่องจากใช้ Leverage จึงอาจขาดทุนมากกว่าทุนตั้งต้นหากตลาดเคลื่อนไหวตรงข้ามกับที่คาดไว้ ควรใช้ Stop Loss และบริหารเงินทุนอย่างเข้มงวด
12. Futures ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมหรือไม่?
ตอบ: มีค่าธรรมเนียมการซื้อขาย (Commission) และอาจมีค่าธรรมเนียมอื่น เช่น ค่าธรรมเนียมตลาด TFEX และค่าบริการจากโบรกเกอร์ ขึ้นอยู่กับแต่ละบริษัท
13. สามารถถือสัญญา Futures ข้ามวันหรือข้ามเดือน ได้ไหม?
ตอบ: ได้ แต่อาจมีการเรียกหลักประกันเพิ่มหากราคาผันผวน และต้องดูวันหมดอายุของสัญญาด้วย ถ้าถือจนหมดอายุ จะถูกบังคับปิดโดยอัตโนมัติ
14. เทรด Futures บนแพลตฟอร์มอะไรได้บ้าง?
ตอบ: สามารถใช้โปรแกรม เช่น
- Streaming (สำหรับเทรด TFEX)
- MT5 (MetaTrader 5 – โบรกต่างประเทศ)
- Bisnews, Aspen หรือแอปจากโบรกเกอร์แต่ละเจ้า
15. เทรด Futures ถูกกฎหมายไหม?
ตอบ: ถ้าเทรดในตลาด TFEX ถือว่าถูกกฎหมายไทย 100% แต่ถ้าเทรด Futures ผ่านโบรกต่างประเทศ ต้องตรวจสอบว่าโบรกเกอร์นั้นมีใบอนุญาตและได้รับการรับรองจากหน่วยงานทางการเงินที่เชื่อถือได้
16. มือใหม่ควรเริ่มเทรด Futures เลยไหม?
ตอบ: แนะนำให้ศึกษาให้เข้าใจก่อน ทั้งเรื่อง Leverage, การบริหารความเสี่ยง และการวิเคราะห์ราคา อาจเริ่มจากบัญชีทดลอง (Demo) หรือเริ่มลงทุนจริงด้วยจำนวนเงินเล็กน้อย
17. Futures กับ Options ต่างกันอย่างไร?
ตอบ: Options ให้สิทธิ แต่ไม่ผูกพัน เช่น Call Option คือสิทธิในการซื้อ แต่ไม่จำเป็นต้องซื้อ
Futures เสี่ยงสูงกว่าและเหมาะกับผู้ที่มีวินัยการเทรด ส่วน Futures คือ ภาระผูกพันในการซื้อหรือขายตามสัญญา
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page