ทฤษฎี DOW THEORY คืออะไร ?

Table of Contents

Dow Theory ประกอบด้วย 6 หลักการคือ

ทฤษฎี DOW THEORY

1.ราคาได้สะท้อนทุกอย่างไว้หมดแล้ว

ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารต่างๆ พฤติกรรมความต้องการของคนในตลาด ปัจจัยทางพื้นฐานต่างๆ Dow เชื่อว่าได้ถูกสะท้อนออกมาเป็นราคา ณ ขณะนั้นเรียบร้อยแล้ว

2.ราคาเคลื่อนไหวอย่างเป็นแนวโน้ม

หากมองในภาพใหญ่แล้ว Dow เชื่อว่าราคาเคลื่อนไหวไปเป็นอย่างมีแนวโน้ม โดยมี 2 แนวโน้ม คือ Bull market (ขึ้น) และ Bear market (ลง) อีกทั้งในทฤษฎีของ Dow นั้นแบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ประเภท คือ

1) Primary trend หรือแนวโน้มใหญ่ – 1 ปีขึ้นไป

2) Secondary trend หรือแนวโน้มกลาง  – 3 สัปดาห์ขึ้นไป

3) Minor trend หรือ แนวโน้มย่อย – รายวัน/รายสัปดาห์

3.ราคาต้องยืนยันซึ่งกันและกัน

หากเกิดสัญญาณการขึ้น หรือลง ราคาที่เกี่ยวข้องกันควรจะต้องยืนยันทิศทางซึ่งกันและกัน ถึงจะเป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางนั้นอย่างแท้จริง โดยในทฤษฎีแรกเริ่มของ Dow นั้นได้คิดค้นว่าถ้าดัชนีของ Utilities (หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค) ขึ้นทำ New high นั้น ดัชนีของ Railroads (หุ้นกลุ่มขนส่ง) ต้องทำ New High ด้วยเช่นกัน ถึงจะยืนยันทิศทางขาขึ้นของดัชนีหุ้นในสหรัฐ เนื่องจาก Dow มองว่าถ้าภาพรวมของเศรษฐกิจจะเป็นขาขึ้นจริง ภาพรวมต้องขึ้นไปด้วย ไม่ใช่ขึ้นแค่เฉพาะบางอุตสาหกรรม

4.ปริมาณ Volume ยืนยันทิศทางราคา

เมื่ออยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น ในช่วงการขึ้นนั้นปริมาณ volume ควรเพิ่มขึ้น แต่ในช่วงพักตัว volume ควรหดตัว และในทางตรงกันข้ามเมื่ออยู่ในช่วงแนวโน้มขาลง เมื่อราคาปรับตัวลง volume ควรเพิ่มขึ้น และหดตัวในช่วงรีบาวน์ และข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือ ในช่วง Bull market จะเป็นช่วงที่ปริมาณ volume สูงที่สุด หรือไม่ก็เป็นช่วงที่ตลาด panic ใน Bear market

5.ใช้ราคาปิดเท่านั้น

Dow เชื่อว่าการใช้ราคาปิดของวันนั้นถือว่าเป็นช่วงราคาที่สำคัญสุด เพราะพวกนักลงทุนที่ต้องปิดสถานะเมื่อสิ้นวัน หรือไม่พวกนักลงทุนหรือ Hedge fund ต่างๆที่ชำระราคากันที่ราคาปิดทั้งสิ้น ทำให้ราคาปิดนั้นมีความสำคัญ แต่อาจจะสงสัยว่าถ้าตลาดเปิด 24 ชั่วโมง ซึ่งไม่ว่าตลาดจะเปิด 24 ชั่วโมงหรือไม่ สุดท้ายก็ต้องมีเวลาที่ใช้ในการคำนวณราคาที่ใช้ชำระราคา หรือ Settlement price เพื่อที่จะคำนวณ กำไร ขาดทุน คำนวณเงิน margin ต่างๆ ซึ่งในกรณีนี้อาจใช้ช่วงที่พวกธนาคารหรือโบรกเกอร์ใช้ทำการ Settlement มาแทนช่วงของราคาปิดได้

6.แนวโน้มจะเกิดขึ้นต่อเนื่องจนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแนวโน้ม

นี่คือพื้นฐานของการเทรดสไตล์ Trend-following  คือเชื่อว่าแนวโน้มจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะเกิดสัญญาณเปลี่ยนแนวโน้ม โดย Dow จะไม่คาดการณ์ว่าแนวโน้มนั้นจะเคลื่อนไหวเป็นระยะเวลานานเท่าไหร่ ระยะทางไกลแค่ไหน แต่แค่รอว่าถ้าเกิดสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม นั่นแหละถึงใกล้จบแนวโน้มนั้น

โดยปกติการแบ่งแนวโน้มของทฤษฎี Dow นั้นจะดูจากการทำ High และ Low ของราคา โดยถ้าราคาขึ้นทำ Higher high (ทำ High ใหม่) และทำ Lower High (ทำ Low สูงขึ้น) แสดงถึงทิศทางของขาขึ้น (Bull market)
ในทางกลับกัน ถ้าราคาทำ Higher Low (ทำ High ต่ำลง) และทำ Lower Low (ทำ Low ต่ำลง) แสดงถึงทิศทางของแนวโน้มขาลง (Bear market)

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแค่ทฤษฎีเบื้องต้น ในวงการลงทุนนี้ ยังมีเรื่องที่ต้องศึกษาอีกเยอะแยะมากๆ พี่โบ้ก็หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย และหวังว่าทุกคนจะหมั่นศึกษาเรื่องการลงทุน เพื่อเป็นการพัฒนาตัวเองอย่างเสมอ


อ่านบทความเพิ่มเติม: สาระน่ารู้

วิเคราะห์ราคาทองคำรายวัน: วิเคราะห์ราคาทองคำ และ Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter