
สำหรับการลงทุนในตลาดต่าง ๆ การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค (Technical Analysis) จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต (Trend) และเครื่องมือสำคัญตัวนั้นคงหนีไม่พ้น อินดิเคเตอร์ (Indicator) ซึ่ง Indicator คือ เพื่อนที่ดีที่สุดในการหาแนวโน้ม และจุดเข้าซื้อ-ขายของสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาด Cryptocurrency, Stock รวมถึง Forex ซึ่งเป็นตลาดการลงทุนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในตอนนี้ โดยอินดิเคเตอร์แต่ละตัวมีประโยชน์ และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป
บทความนี้ Traderbobo ก็มี Indicator สามัญประจำบ้านของนักเทรดทุกคน ที่จะทำให้เทรนด์กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ ซึ่งอินดิเคเตอร์ตัวนี้ถูกขนานนามว่า “Trend is Your Friend” นั่นคือ RSI Indicator ที่เรากำลังจะไปเจาะลึกกันนั่นเองครับ
———————————— 🐶 ————————————
RSI Indicator คืออะไร?
หากใครเคยศึกษาเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ MACD คงเคยได้ยินชื่อ “RSI Indicator” กันมาบ้าง โดยถูกพัฒนาขึ้นในปี 2521 เป็นหนึ่งใน Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือทิศทางราคาในอนาคต นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเทรดทอง โดยมีชื่อในวงการทองว่า RSI Gold และ RSI Forex
- RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index
- RSI นิยมใช้ดูสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม รวมถึง Overbought และ Oversold
จุดแข็งของ RSI (Relative Strength Index) คือ สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ค่อนข้างแม่นยำด้วย RSI Divergence และบอกถึงภาวะ Overbought และ Oversold ในตลาด โดยควรทำการวิเคราะห์ควบคู่ไปกับ Price Pattern เนื่องจากจะช่วยให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสในการทำกำไรมากขึ้น
📢 Traderbobo แนะนำ
นอกจาก RSI แล้ว ยังมีอินดิเคเตอร์อีกมากมายที่เทรดเดอร์ทั้งมือใหม่และมืออาชีพไม่ควรพลาด พี่โบ้ได้รวบรวมสุดยอดอินดิเคเตอร์ไว้ให้คุณแล้ว
สูตรคำนวณ RSI (RSI Formula)
RSI จะคำนวณโดยเปรียบเทียบขนาดการเพิ่มขึ้นของราคากับขนาดการลดลงของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแสดงผลเป็นค่าตัวเลขระหว่าง 0-100 เพื่อบอกว่าแรงซื้อหรือแรงขายมีความแข็งแกร่งมากกว่ากันในช่วงนั้น ๆ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ความหมายของตัวแปร;
- RS คือ Average Gain หาร Average Loss
- Average Gain คือ ค่าเฉลี่ยการเพิ่มขึ้นของราคาในช่วง 14 วัน
- Average Loss คือ ค่าเฉลี่ยการลดลงของราคาในช่วง 14 วัน
* หมายเหตุ : ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทน 14 วัน เป็นช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้ ซึ่งคุณสามารถปรับเปลี่ยนได้กลยุทธ์และวิจารณญาณของแต่ละบุคคล
ประโยชน์ของ RSI Indicator
- RSI ใช้ดู Overbought และ Oversold
- RSI ใช้ดูสัญญาณการกลับตัว (Reversal)
- RSI ใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
- RSI ใช้หาจุดเข้าออกออเดอร์
RSI ใช้ยังไง? ดูยังไง?
RSI คือ Indicator ที่ขึ้นชื่อว่า “Trend is Your Friend” เนื่องจากสามารถใช้ดูได้ทั้งแนวโน้ม, จุดกลับตัว, ภาวะ Overbought, ภาวะ Oversold และหาสัญญาณเข้าซื้อ-ขาย ดังนั้น กลยุทธ์ในการใช้ RSI Indicator จึงสามารถทำได้หลายวิธี โดยในหัวข้อนี้เราจะขอเสนอประเด็นสำคัญ ดังนี้
- การใช้ RSI ดู Overbought และ Oversold
- การใช้ RSI ดู Breakout
- การใช้ RSI คอนเฟิร์มแนวโน้ม
- การตีเส้น Trend Line ใน RSI Indicator
การใช้ RSI ดู Overbought และ Oversold
สำหรับการดู Overbought และ Oversold ด้วย RSI Indicator นั้นมีค่าดัชนี (Index) ที่เราใช้วิเคราะห์หลัก ๆ อยู่ 2 ค่า ได้แก่ RSI ระดับ 70 และ RSI ระดับ 30 โดยจะมีรายละเอียด ดังนี้
สัญญาณ | ความหมาย |
RSI > 70 | ▪ เกิดภาวะ Overbought ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า |
RSI < 30 | ▪ เกิดภาวะ Oversold ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า |
RSI แสดงภาวะ Overbought
- เมื่อ RSI อยู่ในระดับสูงกว่า 70 หมายความว่า เกิดภาวะการซื้อมากเกินไป ซึ่งบ่งบอกว่ามีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลงแม้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบกว่า

RSI แสดงภาวะ Oversold
- เมื่อ RSI อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 หมายความว่า เกิดภาวะการขายมากเกินไป ซึ่งบ่งบอกว่ามีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นแม้อยู่ในแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบกว่า

การใช้ RSI ดู Breakout
RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ดู Breakout ในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway แต่จำเป็นต้องพิจารณาควบคู่ไปกับ Price Pattern ในรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากจะช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยมีค่า RSI สำคัญอยู่ที่ระดับ 50 ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้
สัญญาณ | ความหมาย |
RSI > 50 | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า |
RSI < 50 | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า |
*หมายเหตุ : นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมเปิดออเดอร์หลังจากแท่งเทียนราคาปิดตัวลงพอดี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ Time Frame (TF) ที่คุณเลือกใช้ เช่น หากคุณใช้ TF 1H และแท่งเทียนเปิดตัวที่เวลา 15.00 น. หมายความว่า แท่งเทียนนั้นจะปิดตัวลงที่เวลา 16.00 น. ครับ นอกจากนี้ เวลาเปิดตัวของแท่งเทียนจะมีบอกในโปรแกรมเทรด เพียงแค่คุณใช้เมาส์ชี้ไปที่ตัวแท่งเทียน
RSI Breakout กรณีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)
- เมื่อเส้น RSI ขึ้นทะลุระดับ 50 หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จะได้เปรียบมากกว่า

จากตัวอย่าง กราฟราคาอยู่ในแนวโน้ม Sideways ทำให้คาดการณ์แนวโน้มต่อไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น เราจึงใช้อินดิเคเตอร์ RSI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และอาจตีเส้นไว้ที่ RSI 50 เพื่อให้ดูง่ายยิ่งขึ้น คุณจะเห็นว่า ราคามีการขึ้นไปทดสอบ RSI ที่ 50 อยู่หลายครั้ง และครั้งสุดท้ายกราฟสามารถทะลุ RSI 50 ขึ้นไปได้ หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น
RSI Breakout กรณีแนวโน้มขาลง (Downtrend)
- เมื่อเส้น RSI วิ่งลงหลุดระดับ 50 หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบมากกว่า

จากตัวอย่าง กราฟราคาอยู่ในแนวโน้ม Sideways ทำให้คาดการณ์แนวโน้มต่อไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น เราจึงใช้อินดิเคเตอร์ RSI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และอาจตีเส้นไว้ที่ RSI 50 เพื่อให้ดูง่ายยิ่งขึ้น คุณจะเห็นว่า ราคาเกิดภาวะ Overbought ก่อนปรับตัวลงต่ำกว่า RSI 50 จากนั้นเกิดการ Breakout ขึ้นไปเหนือ RSI 50 แต่ไม่สามารถผ่าน RSI 60 ขึ้นไปได้ และสุดท้ายมีการปรับตัวลงต่ำกว่า RSI 50 ในที่สุด หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง
การใช้ RSI คอนเฟิร์มแนวโน้มต่อไป (Trend)
ในกรณีที่ตลาดกำลังเป็น Sideway คงยากต่อการวิเคราะห์ว่า แนวโน้มต่อไปจะเป็นแนวโน้มใด ดังนั้น การใช้ RSI คือ ตัวช่วยที่ดีที่สุดในการหาเทรนด์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
สัญญาณ | ความหมาย |
เส้น RSI เป็นขาขึ้น | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า |
เส้น RSI เป็นขาลง | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า |
RSI คอนเฟิร์มแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

จากตัวอย่าง ราคากำลังอยู่ในแนวโน้ม Sideway ซึ่งคุณสามารถใช้ RSI Indicator เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มแนวโน้มต่อไปได้ โดยดูจากสัญญาณ RSI ดังนั้น เมื่อเส้น RSI มีลักษณะเป็นขาขึ้น แสดงว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนเป็น “แนวโน้มขาขึ้น”
RSI คอนเฟิร์มแนวโน้มขาลง (Downtrend)

จากตัวอย่าง ราคากำลังอยู่ในแนวโน้ม Sideway ซึ่งคุณสามารถใช้ RSI Indicator เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มแนวโน้มต่อไปได้ โดยดูจากสัญญาณ RSI ดังนั้น เมื่อเส้น RSI มีลักษณะเป็นขาลง แสดงว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนเป็น “แนวโน้มขาลง”
การตีเส้น Trend Line ใน RSI Indicator
การใช้ Trend Line ร่วมกับ RSI คือ การติดตามพฤติกรรมของเส้น RSI โดยเราจะลาก Trend Line ใน RSI Indicator เพื่อหาจุดสัมผัสจำนวน 3 จุดขึ้นไป ซึ่งการตีเส้น Trend Line ใน RSI นั้นเป็นเพียงเทคนิคที่เราเอาไว้ดูสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่า ราคามีแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไปหรือไม่ หากเส้น RSI ทะลุ Trend Line ขึ้นไป หรือเส้น RSI หลุดจาก Trend Line ลงมา นั่นบ่งบอกถึงสัญญาณเตือนว่า ราคากำลังมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
ระวัง! การตีเส้นเทรนไลน์ใน RSI คือ เทคนิคที่ใช้ดู “สัญญาณเตือนล่วงหน้าเท่านั้น” ไม่สามารถกำหนดจุดเข้าซื้อขาย หรือคาดการณ์แนวโน้มต่อไปได้ เนื่องจากการที่ RSI สามารถทะลุ Trend Line ขึ้นหรือลงได้ ยังไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์แนวโน้มและจุดเข้าออก ต้องดู RSI Breakout ร่วมด้วย
ดังนั้น การกำหนดจุดเข้าซื้อขายและคาดการณ์แนวโน้มต่อไป จำเป็นต้องใช้ระดับ RSI เข้ามาช่วยพิจารณาด้วย โดย RSI Breakout และการตีเส้น Trend Line ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เข้ามาช่วยยืนยันสัญญาณให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสรุปง่าย ๆ ได้ดังนี้
สัญญาณ | ความหมาย |
RSI ทะลุ Trend Line ขึ้นไป และระดับ RSI > 50 | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า |
RSI หลุด Trend Line ลงมา และระดับ RSI < 50 | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า |
🐶 ภาพแสดงตัวอย่าง

RSI Divergence ประจำบ้าน
RSI Divergence คือ สัญญาณสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มจากความเคลื่อนไหวที่สวนทางกันระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ ซึ่ง RSI เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนนิยมใช้เพื่อดูการเกิด Divergence และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซึ่งสัญญาณ Divergence ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาเป็นจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรอบนั้น ๆ
Divergence คืออะไร?
Divergence คือ การที่ราคาเคลื่อนที่สวนทางกับอินดิเคเตอร์ ซึ่งการเกิด Divergence ถือเป็นสัญญาณการกลับตัวของราคาที่สำคัญ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Divergence
RSI Divergence | สัญญาณ | ความหมาย |
Bullish Divergence | ▪ ราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง ▪ RSI บอกทิศทางเป็นขาขึ้น ▪ RSI < 30 | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ▪ เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า |
Bearish Divergence | ▪ ราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ▪ RSI บอกทิศทางเป็นขาลง ▪ RSI > 70 | ▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ▪ เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า |
RSI Bullish Divergence คืออะไร?
RSI Bullish Divergence คือ Divergence ขาขึ้น โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง หรือลดลงเรื่อย ๆ (Lower Low) แต่เส้น RSI มีการปรับตัวขึ้น บ่งบอกถึงสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการกำหนดจุดเข้าออกออเดอร์ ควรพิจารณาระดับของ RSI Indicator ควบคู่ไปด้วย โดยเส้น RSI จะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับ 30 เท่านั้น

RSI Bearish Divergence คืออะไร?
RSI Bearish Divergence คือ Divergence ขาลง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Higher High) แต่เส้น RSI มีการปรับตัวลง บ่งบอกถึงสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า
นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการกำหนดจุดเข้าออกออเดอร์ ควรพิจารณาระดับของ RSI Indicator ควบคู่ไปด้วย โดยเส้น RSI จะต้องอยู่สูงกว่าระดับ 70 เท่านั้น

📢 Divergence คือ การที่ราคาเคลื่อนในทิศทางที่สวนทางกับ Indicator ในที่นี้คือ STO โดยเมื่อราคาเกิด Divergence จะถือเป็นสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญ
การใช้ RSI Divergence และ RSI Crossover
Divergence ที่เกิดจาก RSI คือ สัญญาณอันทรงพลังเพื่อใช้ในการคาดการณ์แนวโน้ม ซึ่งหากคุณใช้ RSI Divergence ร่วมกับ RSI Crossover จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ให้มากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว RSI จะตั้งค่าไว้ที่ 14 แต่ในกรณีของ RSI Crossover จำเป็นต้องเพิ่มเส้น RSI ขึ้นมาอีก 1 เส้น โดยใช้ตั้งค่า RSI ที่ 5 และเมื่อไหร่ที่ RSI 5 และ RSI 14 ตัดกันจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Crossover”
ข้อดีของการใช้ RSI Crossover คือ ในบางครั้งเส้น RSI ก็ไม่สามารถวิ่งไปถึงระดับ Overbought หรือ Oversold ได้ แต่เกิดการกลับตัว (Reversal) เลยทันที ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักพลาดโอกาสในการเปิดออเดอร์จากกรณีเช่นนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่ง RSI Crossover เข้ามาช่วยแก้ปัญหาจุดนี้ เนื่องจากให้สัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่ามาก
สัญญาณ | ความหมาย |
RSI 5 ตัด RSI 14 ลงมา | สัญญาณเตือนแนวโน้มขาลง |
RSI 5 ตัด RSI 14 ขึ้นไป | สัญญาณเตือนแนวโน้มขาขึ้น |
*หมายเหตุ : หลังจากที่คุณได้รับสัญญาณเตือนจาก RSI Crossover แล้ว จำเป็นจะต้องรอสัญญาณยืนยันอีกครั้งก่อนทำการเปิดออเดอร์ซื้อขาย ซึ่งนักเทรดหลายคนจะใช้ Crossover ร่วมกับการดู Price Pattern และเทคนิคอื่น ๆ
🐶 ภาพแสดงตัวอย่าง

ความแตกต่างระหว่าง MACD กับ RSI คืออะไร?
MACD | RSI |
MACD ใช้ได้ดีในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นเทรนด์ | RSI ใช้ได้ดีในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway |
MACD หาจุดเข้าซื้อขายจากการตัดของเส้น MACD Line และ Signal Line | RSI ใช้ดูภาวะ Overbought และ Oversold เพื่อเป็นสัญญาณในการเข้าซื้อขาย |
MACD คำนวณด้วยค่าเฉลี่ยของราคาปิดย้อนหลัง 12 วัน และ 26 วัน | RSI คำนวณด้วยขนาดของการเพิ่มขึ้นและลดลงของราคา |
ตัวบ่งชี้ของ MACD คือ Histogram และ EMA (26,12,9) | ตัวบ่งชี้ของ RSI คือ ค่าดัชนี 0-100 |
RSI และ MACD สามารถดู Divergence ได้ทั้งคู่ ดังนั้น ควรใช้ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณเข้าซื้อขายที่แม่นยำมากขึ้น |
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ RSI
1. เมื่อค่า RSI สูงกว่า 70 หมายถึงอะไร?
เมื่อค่า RSI สูงกว่า 70 หมายถึงภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
2. RSI (Relative Strength Index) เป็นดัชนีวิเคราะห์อะไร?
RSI (Relative Strength Index) เป็นดัชนีหรือเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคประเภท Momentum Oscillator ใช้วิเคราะห์โซนที่ราคาสินทรัพย์อาจอยู่ในภาวะ Overbought หรือ Oversold และช่วยให้เทรดเดอร์วิเคราะห์แนวโน้มราคาหรือจังหวะซื้อขายได้ดีขึ้น
3. ค่า RSI ดูตรงไหน?
RSI จะดูได้จากบนกราฟราคาของหุ้น หรือสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่แสดงในโปรแกรมเทรดหรือแพลตฟอร์มวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์
สรุป RSI คืออะไร
RSI (Relative Strength Index) คือ อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มราคาในอนาคต และหาจุดเข้าซื้อขาย โดยนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเทรดทอง และมีชื่อในวงการทองว่า RSI Gold หรือ RSI Forex ซึ่งจุดแข็งของ Indicator RSI คือ สามารถส่งสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ค่อนข้างแม่นยำด้วย RSI Divergence และบอกถึงภาวะ Overbought และ Oversold ในตลาด
อีกทั้ง เทรดเดอร์ยังสามารถใช้เทคนิคการตีเส้น Trend Line ใน RSI และ Crossover เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ RSI ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ถึงแม้ RSI จะค่อนข้างได้รับความนิยมมากในกลุ่มนักเทรด แต่การใช้ Indicator เพียงแค่ตัวเดียวในการวิเคราะห์ก็อาจจะไม่ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขนาดนั้น ดังนั้น ควรใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
- Moving Average
- Bollinger Bands
- Stochastic Oscillator
อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้ ไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนแต่อย่างไร และการลงทุนไม่ว่าจะในตลาดใดล้วนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุนทุกครั้งครับ
🔍รวมรีวิวจัดอันดับที่สุดของทุกด้าน!

💡💬 เมื่อตลาดการเงินไม่เคยหยุดนิ่งแพลตฟอร์มการเทรด จึงเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยกำหนดความสำเร็จของคุณ!
➡️ จัดอันดับโบรกเกอร์เทรดทอง 🪙
➡️ จัดอันดับโบรกเกอร์สเปรดต่ำ 💵
➡️ จัดอันดับโบรกเกอร์น่าเชื่อถือ ✅
➡️ จัดอันดับโบรกเกอร์ไม่มีค่า Swap 📉
➡️ จัดอันดับโบรกเกอร์ที่ดีที่สุดในไทย 🐘
➡️ จัดอันดับโบรกเกอร์ถอนเงินเร็ว ฝากเงินเร็ว 🚀
………………….🐶………………….
*หมายเหตุ: การลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์มีความเสี่ยงสูงและผันผวนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุน รวมถึงความเสี่ยงให้ดีก่อนเริ่มทำการลงทุนครับ
📑คู่มือเทรด Forex สำหรับมือใหม่

มือใหม่อยากเริ่มเทรดจะเริ่มจากตรงไหนดี? รวมทุกสิ่งที่คุณต้องรู้ หากอยากประสบความสำเร็จในตลาด Forex มือใหม่ควรอ่าน! 💬📈
➡️ 5 Step เริ่มต้นเทรด Forex ต้องรู้อะไรบ้าง?
➡️ รวมสิ่งที่คุณต้องรู้เพิ่มเติมในการเทรด Forex
➡️ ล้วงลึกเทคนิคการวิเคราะห์กราฟ Forex ที่คุณควรรู้!
➡️ สำรวจตนเอง แท้จริงแล้วคุณเป็นเทรดเดอร์ประเภทไหน?
………………….🐶………………….
*หมายเหตุ: การลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์มีความเสี่ยงสูงและผันผวนอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลการลงทุน รวมถึงความเสี่ยงให้ดีก่อนเริ่มทำการลงทุนครับ
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page