เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลกและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น สืบเนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการจัดสรรวัคซีนได้อย่างรวดเร็วให้แก่ประชาชนของประเทศใหญ่ ๆ รวมถึงการทำ QE ของธนาคารกลางหลักทั่วโลก ช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดการเงินโลก ทำให้หุ้นเติบโตหรือ Growth Stock เช่น หุ้นเทคโนโลยีอย่าง Facebook, Amazon, Apple, Microsoft, Google และหุ้นในกลุ่ม Thematic เช่น หุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและเล็ก ให้ผลประกอบการที่ก้าวกระโดด แต่ก็มีความผันผวนมากเช่นกัน
จากภาพในปี 2020 หากเราพิจารณากลุ่มหุ้นเติบโต (ใช้ MSCI USA Growth Index เป็นตัวแทน Benchmark Index) นั้นสามารถสร้างผลตอบแทนทั้งปีได้ถึง 43% ในขณะที่หุ้นคุณค่า (ใช้ MSCI USA Value Index เป็นตัวแทน) สามารถทำผลตอบแทนได้เพียง 1%
ลงทุนหุ้น ในปีนี้หุ้น Value ยังน่าลงทุนอยู่หรือเปล่า ?
สำหรับแนวโน้มของหุ้น Growth และหุ้น Value ในปี 2021 ตั้งแต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จะเห็นว่า US Bond Yields (Bond Yields คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล) เริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่กลับมาสู่ระดับ 1.2-1.3% เริ่มสร้างความกังวลต่อการปรับฐานของตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงต้นปี เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยพื้นฐานแล้ว US Bond Yields ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากถ้า Bond Yields ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น
พี่โบ้มองว่า ในอนาคตตลาดหุ้นต่างประเทศยังสามารถปรับขึ้นต่อได้ จากสัญญาณลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed, ECB และ BOJ โดยเฉพาะหุ้น Growth มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง จากความแข็งแรงของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม เพราะ Covid-19 ทำให้เราต้องใช้ชีวิตแบบ New Normal ในขณะที่หุ้น Value ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นเช่นกัน ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ทั้งยังได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอีกด้วย
ลงทุนหุ้น Growth หรือ Value ดีกว่ากัน?
สำหรับตอนนี้ แน่นอนว่าหุ้น Growth ของสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ควรลงทุนอยู่แล้ว แต่เราควรพิจารณาหุ้นในภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯ รวมทั้งอาศัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเข้าลงทุนหุ้น Value บ้าง เช่น หุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น รวมถึงหุ้นในภูมิภาค Emerging Asia เนื่องจากหุ้นในภูมิภาคเหล่านี้มีสัดส่วนหุ้นในกลุ่ม Value รวมถึงหุ้นวัฏจักร (Cyclical) ในสัดส่วนที่มากกว่าหุ้นสหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เราควรลงทุนทั้งหุ้น Growth และหุ้น Value เพื่อบริหารความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากยิ่งขึ้น โดยพิจารณาหุ้นนอกกระแส เช่น หุ้น Value ไว้ในพอร์ตบ้าง
Source: ทีมงาน Traderbobo
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่: สาระน่ารู้
อ่านรีวิวโบรกเกอร์เพิ่มเติมได้ที่: Review Broker