รู้ไหมว่าทำไมอยู่ดี ๆ ก็ “ขาดทุนจากคริปโต” ?
นั่นเพราะว่าตลาดคริปโตมีเรื่องอะไรมากกว่าที่เรารู้ เป็นเรื่องที่มันเข้ามาชวนให้นักลงทุนแบบเรา ขาดทุนจากคริปโต ได้ง่าย ๆ ไม่ใช่แค่เรื่องของสภาพเศรษฐกิจ ข่าวสารเรื่องสงคราม หรือภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ จนไปถึงนโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคาร จากที่ผมกล่าวมาทั้งหมดนี้ต่างก็มีผลต่อความผันผวนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่ทำให้เราขาดทุนจากคริปโต จนบางคนพอร์ตติดลบกว่า 50% แต่มันไม่ใช่ปัจจัยทั้งหมด มันยังมีมากกว่านั้นครับ
อย่างที่เราทราบกันดีว่า ตลาดคริปโตเคอเรนซี่ มันทำให้คนธรรมดาสามารถกลายเป็นเศรษฐีได้ในชั่วข้ามคืน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ยังมีอีกหลายคนเหมือนกันที่ต้อง “ขาดทุน” ถึงขั้นรุนแรงจนคิดจะจบชีวิตตัวเอง เพราะทุกคนที่เข้ามาลงทุนในตลาดคริปโตเคอเรนซี่นี้ล้วนมีความคิดเหมือนกันว่า เข้ามาแล้วฉันจะต้องได้กำไรกลับไป
จากข้อมูลที่ผมได้ไปรวบรวมมาทำให้ผมเห็นได้ชัดเลยว่า จำนวนนักลงทุนในคริปโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ตัวเลขที่ผมนำมาจาก กลต. แสดงให้เห็นว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีนักลงทุนเกือบ 1 ล้านบัญชีแล้ว คงเป็นเพราะความที่ตลาดคริปโตมีความผันผวนสูง และมีคนมองว่า มันเป็น “ตลาดซิ่ง” สามารถทำกำไรได้อย่างมหาศาล อย่างไรก็ตาม ยังคงมีบางคนมองข้ามเรื่องที่เราสามารถ ขาดทุนจากคริปโต อย่างมหาศาลได้เช่นกัน
นั่นจึงทำให้เราต้องเตรียมตัว ติดตามข่าวสาร เตรียมขาดทุน และเตรียมได้กำไรก้อนโต เพราะผมจะมาแบ่งปัน 5 ข้อสุดกวนในตลาดคริปโตที่คุณต้องอ่าน ไม่งั้นคุณจะเป็น 1 ใน 90% ของนักลงทุนที่ ขาดทุนจากคริปโต เหมือนคนทั่วไป
5 ข้อสุดกวน ชวนนักลงทุนคริปโตมือใหม่กว่า 90% ขาดทุนจากคริปโต
1. ขาดทุนจากคริปโต ยับ เพราะ Twitter คนดัง
มาเริ่มกันที่ข้อแรกครับ อย่างที่เราต่างรู้กันดีว่า ตลาดคริปโตนั้นมีหลายเหรียญที่ไม่มีพื้นฐาน บางเหรียญถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นแค่มีมขำ ๆ เท่านั้น แต่ทำไมมันถึงมีมูลค่ามหาศาล ? ผมขอพูดตรง ๆ เลยว่า “มันมีคนปั่นราคา”
ผมจะทำให้คุณเข้าใจได้ง่ายขึ้นด้วยการเปรียบเทียบกับตลาดหุ้น เพราะเมื่อเวลาเราจะลงทุนในหุ้นสักตัว เราต้องดูพื้นฐาน ดูความน่าเชื่อถือของบริษัทว่า บริษัทที่เราลงทุนไปนั้นจะสามารถสร้างรายได้ และแบ่งปันผลกำไรให้เราได้หรือไม่
ซึ่งมันต่างกับตลาดคริปโตสิ้นเชิง เพราะการขึ้นลงของราคานั้น สามารถปั่นได้จากเหล่าคนดัง หรือผู้ที่มีอิทธิพลในช่องทาง Social Media โดยพวกเขาจะเป็นกระบอกเสียงที่พูดถึงราคาคริปโต และพูดถึงโปรเจกต์เบื้องหลังต่าง ๆ ว่าจะมีการพัฒนาไปอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็น Joe Biden หรือ Elon Musk ที่มาทวิตเกี่ยวกับ Doge coin บ่อย ๆ แล้วยังมีอีกคนหนึ่งที่ผมจะไม่พูดถึงไม่ได้เลย
นั่นเพราะผมก็ติดตามเขาอยู่เหมือนกัน คนนั้นคือ คุณบอยท่าพระจันทร์ ที่ชอบมาโพสต์ใน Social Media ซึ่งพี่เขาเป็นวาฬในตระกูลเหรียญไทยอย่างเหรียญ KUB และเหรียญ JFin
จากเหล่าคนดังที่ผมได้พูดไปข้างต้น จึงไม่แปลกเลยว่า ทำไมสินทรัพย์อย่าง Cryptocurrency ถึงราคาถึงเหวี่ยงขึ้นลงอย่างรุนแรง นั่นก็เพราะความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุนรายย่อย (เม่า) ผูกไว้กับนักลงทุนรายใหญ่ มันเลยทำให้เวลาเหล่าคนดังเคลื่อนไหวนิดเดียวก็ทำให้ตลาดสั่นคลอนได้นั่นเอง
2. ขาดทุนคริปโต เพราะตลาดเหวี่ยงจากแก๊งตี 3
ขั้นแรกเลยผมอยากให้เราเตือนตัวเองทุกครั้งก่อนทำการซื้อขาย เพราะในตลาดคริปโตนั้นมีความผันผวนตลอดเวลา บางเหรียญสามารถพุ่งขึ้นสูงได้ถึง 500% แต่มันก็ลงได้ 500% เช่นกัน เพราะว่าตลาดนี้ เขาซื้อขายกันตลอด 24 ชั่วโมง ไม่มีเวลาตลาดปิดเหมือนตลาดหุ้น หรือตลาด Forex เลยทำให้เทรดเดอร์ซื้อขายกันทั่วโลก และปั่นกันได้ทั้งวัน
ทำไมผมถึงตั้งหัวข้อว่า “ขาดทุนจากแก๊งตี 3” เพราะในโซนเอเชียนั้น เราจะเรียกนักลงทุนจากชาติตะวันตกว่า แก๊งตี 3 ซึ่งถ้าใครอยู่ในตลาดคริปโตมาสักพัก คุณจะเห็นการเหวี่ยงของราคาในช่วงดึก หรือบางวันมันอาจเหวี่ยงตอนตี 3 เป๊ะ ๆ นั่นเพราะมันเป็นช่วงที่นักลงทุนทางฝั่งตะวันตกตื่นขึ้นมาเทรดกัน แล้วถ้าคุณตื่นมาแล้วพอร์ตติดลบไปก็ไม่ต้องแปลกใจ
3. ขาดทุนจากคริปโต เพราะเชื่อในเทคโนโลยีบล็อกเชนของเหรียญกาว
ผมต้องยอมรับว่า บล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีที่น่าทึ่งมาก เพราะมันทำให้โลกการเงินโปร่งใสขึ้นเยอะจากการกระจายศูนย์ที่ไม่มีคนกลางมาควบคุม หรือที่เราเรียกว่า Decentralized โดยการทำงานของมันจะถูกแบ่งออกเป็น Block เพื่อเก็บข้อมูล และถูกนำมาเรียงร้อยต่อกันเป็น Chian ทำให้ทุกคนสามารถเห็นข้อมูลการทำธุรกรรมบนเทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ได้ทั้งหมด เพราะจุดเด่นของ Blockchain คือ การใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยตรวจสอบการทำธุรกรรม และตัดตัวกลางทิ้งไป
จากความเชื่อว่า Blockchain มันจะมาเปลี่ยนโลกการเงินในปัจจุบัน แล้วนำพาเราไปสู่โลกการเงินที่โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ ตัวผมเองก็เชื่ออย่างนั้น แต่ทำไมผมถึงตั้งหัวข้อว่า “ขาดทุนเพราะเชื่อในเทคโนโลยีบล็อกเชนล่ะ ?”
ต้องบอกก่อนว่า มันสามารถตรวจสอบได้จริง ๆ ครับ แต่ทำไมเรายังเห็นข่าวที่ออกมานำเสนอเรื่องการแฮกระบบในวงการสินทรัพย์ดิจิทัลแทบทุกอาทิตย์ เพราะมีหลายโปรเจ็คที่เพิ่งเปิดตัวมาแล้วเขียน Road Map ที่มันน่าสนใจเอามาก ๆ ทำให้ดึงดูดเม่าอย่างพวกเราเข้าไปลงทุนกันจนมองข้ามความสำคัญของความปลอดภัยในระบบ ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์จะเข้ามาแฮกระบบแล้วชิ่งเงินเราหนีไป
ดังนั้น วิธีป้องกันเงินหายจากการโดนแฮก คือ ก่อนลงทุนเราต้องศึกษาตัวเหรียญนั้น ๆ ให้ดีก่อนครับ เพราะเทคโนโลยี Blockchain มันล้ำ และปลอดภัยอยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกถือเหรียญกาวก็ไม่มีความหมายครับ
4. ขาดทุนคริปโต เพราะบอกว่าเหรียญมีจำกัด แต่ดันผลิตออกมาเพิ่ม
ในข้อนี้ ผมจะเล่าถึงไอเดียของเหรียญคริปโตแต่ละเหรียญที่รันอยู่บน Blockchain ซึ่งเหรียญเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาด้วย Project และจุดประสงค์ที่แตกต่างกันใช่ไหมครับ บางเหรียงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น Smart Contract บางเหรียญถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นมีม บางเหรียงถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในเกม และบางเหรียญถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็น Store of Value ทำให้เวลาเราลงทุน เราต้องศึกษาดูก่อนว่า เหรียญนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออะไร
เพราะแต่ละเหรียญจะมีมูลค่าในตัวของมันเอง อย่างเหรียญคริปโตอันดับ 1 ที่เราต่างก็รู้ดีว่า คือ Bitcoin ที่หลายท่านรู้จัก ใช่แล้วครับ! มันมีจำนวนจำกัด ซึ่งมีแค่ 21 ล้านเหรียญเท่านั้น และมันมีมูลค่าในตัวของมันเอง จึงทำให้นักลงทุนหลายคนมองว่า มันจะเป็นสินทรัพย์ในโลกอนาคต ผมเองก็มองแบบนั้นเช่นกัน แล้วทำไมผมถึงบอกว่า “อยู่ดี ๆ ก็ขาดทุน เพราะเหรียญที่ผลิตออกมาใหม่ได้ ?”
เพราะมันมีหลายเหรียญที่สร้างขึ้นมาแล้วประกาศว่า ตัวเองมีจำนวนจำกัด แต่เมื่อสภาพคล่องของเหรียญนั้นเกิดปัญหา ผู้พัฒนาเลยเสกเหรียญขึ้นมาเพิ่มซะงั้น ทำให้มูลค่าและความน่าเชื่อถือของมันลดวูบลงจนแทบไม่มีมูลค่า ดังนั้น นักลงทุนจึงคิดว่า เหรียญนี้ไม่มีค่า ผู้พัฒนาจะเสกออกมาเมื่อไหร่ก็ได้!
วิธีป้องกันปัญหานี้คือ ก่อนที่เราจะลงทุนเราต้องไปศึกษาพื้นฐานของนั้นจริง ๆ ว่ามันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโปรเจคอะไร ใช้ทำอะไรได้จริง ๆ ไม่ใช่แค่เขียน Road Map สวย ๆ เท่านั้น
5. วิเคราะห์กราฟคริปโตอย่างดี ดันมาขาดทุนเพราะวาฬ
มาถึงข้อสุดท้าย ผมต้องบอกก่อนว่า ในทุกตลาด ทุกสังคม มันมักจะมีเจ้ามือ อย่างในตลาดหุ้นเราจะเรียกคนกลุ่มนี้ว่า ‘เจ้า’ ส่วนในตลาดคริปโตเราจะเรียกพวกเขาว่า ‘วาฬ’ หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือ กลุ่มคนที่ถือคริปโตจำนวนมหาศาลหลักร้อยล้านถึงหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ จึงทำให้การซื้อขายของคนกลุ่มนี้ส่งผลต่อตลาดโดยรวมเป็นอย่างมาก เราจะเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาได้ชัดจากการเกิดกราฟแท่งเทียน 8 เมตร ซึ่งเป็นสัญญาณจากการซื้อขายของเหล่าวาฬครับ
แล้วทำไมคนกลุ่มนี้ถึงส่งผลต่อตลาดคริปโตได้ขนาดนั้น ผมต้องบอกก่อนว่า ถ้าเทียบมูลค่ากับตลาดหุ้นแล้ว ตลาดคริปโตจะมีมูลค่าน้อยกว่ามาก ทำให้ผู้ที่มีทุนเข้ามามีอิทธิพลในวงการคริปโตได้ไม่ยากเลย ทำให้การปั่นราคาเกิดขึ้นได้ง่ายมาก ๆ จากการเทขายเหรียญจำนวนมากของวาฬ
จากเหตุผลนี้จึงทำให้นักลงทุนที่เป็นเม่าอย่างพวกเราต้องคอยติดตามการเคลื่อนไหวของวาฬอย่างใกล้ชิดผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้ง Twitter, Whale Alert เพื่อป้องกันการ ขาดทุนจากคริปโต แบบไม่รู้ตัว
5 ข้อ ที่ผมได้กล่าวไปข้างต้นนี้ บางคนอ่านไปก็คิดไปด้วยใช่ไหมล่ะครับ เพราะเหตุการณ์ 5 ข้อนี้ มันกวนนักลงทุนรายย่อยแบบพวกเราแทบทุกวัน แต่บางคนก็ดีใจที่ตามทันแล้วสามารถทำกำไรกลับมาเข้ากระเป๋าได้ง่าย ๆ เช่นกัน แต่สำหรับบางคนที่ไม่ได้ติดตามก็คงมีการติดลบกันบ้าง
ส่วนวิธีป้องกัน 5 ข้อนี้ ผมต้องบอกก่อนว่า มันไม่มีวิธีที่จะสามารถป้องกันได้ 100% เพราะเราไม่สามารถอ่านใจคนอื่นได้ และไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าพวกวาฬ หรือเหล่าคนดังจะปั่นราคาไปทิศทางไหน
ทางที่ดีคือ เราต้องศึกษาพื้นฐานของเหรียญนั้นให้ดีซะก่อน ต้องคำถึงให้ครบทุกด้านก่อนลงทุน และขั้นตอนต่อมาคือ ต้องศึกษาการวิเคราะห์เชิงเทคนิค การดูสัญญาณของกราฟให้เป็น และการติดตามข่าวสาร Twitter คนดัง มันจะช่วยให้คุณมองเห็นภาพมากกว่าคนที่ไม่ติดตาม ไม่ศึกษาอะไรเลยครับ แล้วเมื่อไหร่ที่คุณมองภาพรวมออก วันนั้นแหละประสบการณ์ของคุณมันจะช่วยทำกำไรให้คุณเองครับ
ไว้พบกันใหม่ ผม Traderโบ้โบ้ จะมาเล่าบทความให้ทุกคนได้อ่านกันอีก ไว้พบกันใหม่นะครับ
อ่านบทความเพิ่มเติม: สาระน่ารู้
วิเคราะห์ราคาทองคำรายวัน: วิเคราะห์ราคาทองคำ และ Facebook Page