RSI คืออะไร? ใช้ยังไง? Indicator ประจำบ้านนักเทรด

Table of Contents
RSI คือ

สำหรับการลงทุนในตลาดต่าง ๆ การวิเคราะห์กราฟทางเทคนิค (Technical Analysis) จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้เครื่องมือเข้ามาช่วยคาดการณ์แนวโน้มราคาในอนาคต (Trend) และเครื่องมือสำคัญตัวนั้นคงหนีไม่พ้น อินดิเคเตอร์ (Indicator) ซึ่ง Indicator คือ เพื่อนที่ดีที่สุดในการหาแนวโน้ม และจุดเข้าซื้อ-ขายของสินทรัพย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Cryptocurrency, Stock รวมถึง Forex ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในขณะนี้ โดยอินดิเคเตอร์แต่ละตัวมีประโยชน์ และการใช้งานที่แตกต่างกันออกไป

บทความนี้ Traderbobo ขอเสนอ Indicator สามัญประจำบ้านของนักเทรดทุกคน ที่จะทำให้เทรนด์กลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของคุณ ซึ่งอินดิเคเตอร์ตัวนี้ถูกขนานนามว่า “Trend is Your Friend” นั่นคือ RSI Indicator ที่เรากำลังจะกล่าวถึงในที่นี้ โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรรู้ดังนี้

  • RSI คืออะไร (RSI Indicator)
  • ตั้งค่า RSI สูตรคำนวณจากอะไร (RSI Formula)
  • RSI Indicator บอกอะไร
  • Overbought และ Oversold คืออะไร
  • RSI ดูยังไง ใช้ยังไง
  • การตี Trend Line ใน RSI
  • RSI Divergence ประจำบ้าน
  • การใช้ RSI Divergence และ RSI Crossover
  • ความแตกต่างระหว่าง MACD กับ RSI คืออะไร

———————————— 🐶 ————————————

RSI คืออะไร ?

หากใครที่เคยศึกษาเกี่ยวกับอินดิเคเตอร์ MACD คงได้ยิน “RSI Indicator” ผ่านหูกันมาบ้าง เนื่องจาก RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่มีพื้นฐานมาจาก MACD ถูกพัฒนาขึ้นมาเมื่อปี 2521 โดย J Welles Wilder ซึ่ง RSI คือ หนึ่งใน Indicator ประเภท Oscillator ที่ใช้วัดการแกว่งตัวของราคา หรือทิศทางราคาในอนาคต นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเทรดทอง โดยมีชื่อในวงการทองว่า RSI Gold และ RSI Forex

  • RSI ย่อมาจาก Relative Strength Index
  • RSI คือ อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่มีพื้นฐานมาจาก MACD
  • RSI นิยมใช้ดูสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้ม รวมถึง Overbought และ Oversold

จุดแข็งของ RSI (Relative Strength Index) คือ สัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ค่อนข้างแม่นยำด้วย RSI Divergence และบอกถึงภาวะ Overbought และ Oversold ในตลาด โดยควรทำการวิเคราะห์ควบคู่ไปกับ Price Pattern เนื่องจากจะช่วยให้การวิเคราะห์มีประสิทธิภาพ และเพิ่มโอกาสชนะที่มากขึ้น

🐶 คุณกำลังมองหาโบรกเกอร์เทรดทองอยู่ใช่ไหม ?

5 โบรกเกอร์เทรดทอง ปี 2023 คุ้มที่สุด สเปรดต่ำมาก!

ตั้งค่า RSI สูตรคำนวณจากอะไร ? (RSI Formula)

RSI สูตร คือ คำนวณโดยวัดอัตราส่วนของเวลาเมื่อราคาเป็นขาขึ้น เปรียบเทียบกับอัตราส่วนของเวลาเมื่อราคาเป็นขาลง ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ซึ่งจะแสดงผลออกมาเป็นดัชนี 0-100 เพื่อดูว่า แนวโน้มใดแข็งแกร่งกว่ากันในช่วงนั้น โดยมีรายละเอียดดังนี้

ความหมายของตัวแปร;

  • RS คือ Average Gain และ Average Loss
  • Average Gain คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนที่เป็นบวกย้อนหลัง 14 แท่งเทียน
  • Average Loss คือ ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทนที่เป็นลบย้อนหลัง 14 แท่งเทียน

* หมายเหตุ : ค่าเฉลี่ยของอัตราผลตอบแทน 14 วัน เป็นช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่นิยมใช้ ซึ่งคุณสามารถปรับเปลี่ยนได้กลยุทธ์และวิจารณญาณของแต่ละบุคคล

RSI Indicator บอกอะไร ?

  • RSI ใช้ดู Overbought และ Oversold
  • RSI ใช้ดูสัญญาณการกลับตัว (Breakout)
  • RSI ใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
  • RSI ใช้หาจุดเข้าซื้อและขายออก

Overbought และ Oversold คืออะไร ?

จุดเด่นของ Indicator RSI คือ การบอกถึงภาวะ Overbought และ Oversold ซึ่งในหัวข้อนี้เราจะอธิบายก่อนว่า Overbought และ Oversold คืออะไร เพื่อการเข้าใจที่ง่ายขึ้นของผู้อ่านครับ

  • Overbought คือ ภาวะที่เกิดการซื้อมากเกินไป
  • Oversold คือ ภาวะที่เกิดการขายมากเกินไป

Overbought คืออะไร ?

Overbought คือ ภาวะที่เกิดการซื้อมากเกินไปจากแรงซื้อจำนวนมาก จนทำให้ราคาปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนเริ่มขายสินทรัพย์ออกเพื่อทำกำไร บ่งบอกถึง มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง แม้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

Oversold คืออะไร ?

Oversold คือ ภาวะที่เกิดการขายมากเกินไปจากแรงขายจำนวนมาก จนทำให้ราคาปรับตัวลงอย่างรุนแรง จากนั้นสินทรัพย์นี้จะมีราคาถูกและน่าดึงดูดแก่นักลงทุน ซึ่งมักจะมีแรงซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก บ่งบอกถึง มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น แม้อยู่ในแนวโน้มขาลง (Downtrend)

RSI ใช้ยังไง ? ดูยังไง ?

RSI คือ Indicator ที่ขึ้นชื่อว่า “Trend is Your Friend” เนื่องจากสามารถใช้ดูได้ทั้งแนวโน้ม, จุดกลับตัว, ภาวะ Overbought, ภาวะ Oversold และหาสัญญาณเข้าซื้อ-ขาย ด้วยส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนั้น กลยุทธ์ในการใช้ RSI Indicator จึงสามารถทำได้อย่างวิธี โดยในหัวหัวนี้เราจะขอเสนอประเด็นสำคัญ ดังนี้

  • การใช้ RSI ดู Overbought และ Oversold
  • การใช้ RSI ดู Breakout
  • การใช้ RSI คอนเฟิร์มแนวโน้ม
  • การตีเส้น Trend Line ใน RSI Indicator

การใช้ RSI ดู Overbought และ Oversold

สำหรับการดู Overbought และ Oversold ด้วย RSI Indicator นั้นมีค่าดัชนี (Index) ที่เราใช้วิเคราะห์หลัก ๆ อยู่ 2 ค่า ได้แก่ RSI ระดับ 70 และ RSI ระดับ 30 โดยจะมีรายละเอียด ดังนี้

สัญญาณความหมาย
RSI > 70▪ ณ ราคาเกิดภาวะ Overbought
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า 
RSI < 30▪ ณ ราคาเกิดภาวะ Oversold
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า 

RSI แสดงภาวะ Overbought

  • เมื่อ RSI อยู่ในระดับสูงกว่า 70 หมายความว่า ณ ราคาตอนนั้นเกิดภาวะการซื้อมากเกินไป ซึ่งบ่งบอกถึง โอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวลงแม้อยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบกว่า

rsi คือ

RSI แสดงภาวะ Oversold

  • เมื่อ RSI อยู่ในระดับต่ำกว่า 30 หมายความว่า ณ ราคาตอนนั้นเกิดภาวะการขายมากเกินไป ซึ่งบ่งบอกถึง โอกาสสูงที่ราคาจะปรับตัวขึ้นแม้อยู่ในแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบกว่า

rsi คือ

การใช้ RSI ดู Breakout

ในกรณีนี้ RSI คือ อินดิเคเตอร์ที่นิยมใช้ดู Breakout ในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway แต่จำเป็นต้องพิจารณาควบคู่ไปกับ Price Pattern ในรูปแบบต่าง ๆ เนื่องจากจะช่วยให้การคาดการณ์แนวโน้มแม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยมีค่า RSI สำคัญอยู่ที่ระดับ 50 ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

สัญญาณความหมาย
RSI > 50▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า
RSI < 50▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า

* หมายเหตุ : นักลงทุนส่วนใหญ่นิยมเปิดออเดอร์หลังจากแท่งเทียนราคาปิดตัวลงพอดี ซึ่งจะขึ้นอยู่กับ Timeframe (TF) ที่คุณเลือกใช้ เช่น หากคุณใช้ TF 1H และแท่งเทียนเปิดตัวที่เวลา 15.00 น. หมายความว่า แท่งเทียนนั้นจะปิดตัวลงที่เวลา 16.00 น. ครับ นอกจากนี้ เวลาเปิดตัวของแท่งเทียนจะมีบอกในโปรแกรมเทรด เพียงแค่คุณใช้เม้าส์ชี้ไปที่ตัวแท่งเทียน

RSI Breakout กรณีแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

  • เมื่อเส้น RSI ขึ้นทะลุระดับ 50 หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จะได้เปรียบมากกว่า

rsi คือ

จากตัวอย่าง กราฟราคาอยู่ในแนวโน้ม Sideways ทำให้คาดการณ์แนวโน้มต่อไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น เราจึงใช้อินดิเคเตอร์ RSI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และอาจตีเส้นไว้ที่ RSI 50 เพื่อให้ดูง่ายยิ่งขึ้น คุณจะเห็นว่า ราคามีการขึ้นไปทดสอบ RSI ที่ 50 อยู่หลายครั้ง และครั้งสุดท้ายกราฟสามารถทะลุ RSI 50 ขึ้นไปได้ หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น

RSI Breakout กรณีแนวโน้มขาลง (Downtrend)

  • เมื่อเส้น RSI ลงหลุดระดับ 50 หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จะได้เปรียบมากกว่า

rsi คือ

จากตัวอย่าง กราฟราคาอยู่ในแนวโน้ม Sideways ทำให้คาดการณ์แนวโน้มต่อไปได้ค่อนข้างยาก ดังนั้น เราจึงใช้อินดิเคเตอร์ RSI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และอาจตีเส้นไว้ที่ RSI 50 เพื่อให้ดูง่ายยิ่งขึ้น คุณจะเห็นว่า ราคาเกิดภาวะ Overbought ก่อนปรับตัวลงต่ำกว่า RSI 50 จากนั้นเกิดการ Breakout ขึ้นไปเหนือ RSI 50 แต่ไม่สามารถผ่าน RSI 60 ขึ้นไปได้ และสุดท้ายมีการปรับตัวลงต่ำกว่า RSI 50 ในที่สุด หมายความว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง

การใช้ RSI คอนเฟิร์มแนวโน้มต่อไป (Trend)

ในกรณีที่ตลาดกำลังเป็น Sideway คงยากต่อการวิเคราะห์ว่า แนวโน้มต่อไปจะเป็นแนวโน้มใด ดังนั้น การใช้ RSI คือ ตัวช่วยที่ดีที่สุดในการหาเทรนด์ โดยมีรายละเอียดดังนี้

สัญญาณความหมาย
เส้น RSI เป็นขาขึ้น▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า
เส้น RSI เป็นขาลง▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า

RSI คอนเฟิร์มแนวโน้มขาขึ้น (Uptrend)

rsi คือ

จากตัวอย่าง ราคากำลังอยู่ในแนวโน้ม Sideway ซึ่งคุณสามารถใช้ RSI Indicator เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มแนวโน้มต่อไปได้ โดยดูจากสัญญาณ RSI ดังนั้น เมื่อเส้น RSI มีลักษณะเป็นขาขึ้น แสดงว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนเป็น “แนวโน้มขาขึ้น”

RSI คอนเฟิร์มแนวโน้มขาลง (Downtrend)

rsi คือ

จากตัวอย่าง ราคากำลังอยู่ในแนวโน้ม Sideway ซึ่งคุณสามารถใช้ RSI Indicator เข้ามาช่วยคอนเฟิร์มแนวโน้มต่อไปได้ โดยดูจากสัญญาณ RSI ดังนั้น เมื่อเส้น RSI มีลักษณะเป็นขาลง แสดงว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเปลี่ยนเป็น “แนวโน้มขาลง”

การตีเส้น Trend Line ใน RSI Indicator

การใช้ Trend Line รวมกับ RSI คือ การติดตามพฤติกรรมของเส้น RSI โดยเราจะลาก Trend Line ใน RSI Indicator เพื่อหาจุดสัมผัสจำนวน 3 จุดขึ้นไป ซึ่งการตีเส้น Trend Line ใน RSI นั้นเป็นเพียงเทคนิคที่เราเอาไว้ดูสัญญาณเตือนล่วงหน้าว่า ราคามีแนวโน้มการเคลื่อนไหวที่เปลี่ยนไปหรือไม่ หากเส้น RSI ทะลุ Trend Line ขึ้นไป หรือเส้น RSI หลุด Trend Line ลงมา บ่งบอกถึงสัญญาณเตือนว่า ราคากำลังมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป

ระวัง! การตีเส้นเทรนไลน์ใน RSI คือ เทคนิคที่ใช้ดู “สัญญาณเตือนล่วงหน้าเท่านั้น” ไม่สามารถกำหนดจุดเข้าซื้อขาย หรือคาดการณ์แนวโน้มต่อไปได้ เนื่องจากการที่ RSI สามารถทะลุ Trend Line ขึ้นหรือลงได้ ยังไม่เพียงพอต่อการวิเคราะห์แนวโน้มและจุดเข้าออก ต้องดู RSI Breakout ร่วมด้วย

ดังนั้น การกำหนดจุดเข้าซื้อขายและคาดการณ์แนวโน้มต่อไป จำเป็นต้องใช้ระดับ RSI เข้ามาช่วยพิจารณาด้วย RSI Breakout และการตีเส้น Trend Line ก็เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่เข้ามาช่วยยืนยันสัญญาณให้แม่นยำมากยิ่งขึ้น ซึ่งสามารถสรุปง่าย ๆ ได้ดังนี้

สัญญาณความหมาย
RSI ทะลุ Trend Line ขึ้นไป
และระดับ RSI > 50
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า
RSI หลุด Trend Line ลงมา
และระดับ RSI < 50
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า

🐶 ภาพแสดงตัวอย่าง

rsi คือ

RSI Divergence ประจำบ้าน

RSI Divergence คือ สัญญาณสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มจากความเคลื่อนไหวที่สวนทางกันระหว่างราคาและอินดิเคเตอร์ ซึ่ง RSI เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือสำคัญที่นักลงทุนนิยมใช้เพื่อดูการเกิด Divergence และวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ซึ่งสัญญาณ Divergence ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาเป็นจุดสูงสุดหรือต่ำสุดของรอบนั้น ๆ

Divergence คืออะไร ?

Divergence คือ การที่ราคาเคลื่อนที่ในทิศทางที่สวนทางกับอินดิเคเตอร์ ซึ่งการเกิด Divergence เป็นสัญญาณการกลับตัวของราคาที่สำคัญ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ Bullish Divergence และ Bearish Divergence

RSI Divergenceสัญญาณความหมาย
Bullish Divergenceราคาอยู่ในแนวโน้มขาลง
RSI บอกทิศทางเป็นขาขึ้น
RSI < 30
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาขึ้น
เปิดออเดอร์ Buy ได้เปรียบมากกว่า
Bearish Divergenceราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น
RSI บอกทิศทางเป็นขาลง
RSI > 70
▪ มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็น แนวโน้มขาลง
เปิดออเดอร์ Sell ได้เปรียบมากกว่า

RSI Bullish Divergence คืออะไร ?

RSI Bullish Divergence คือ Divergence ขาขึ้น โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาลง หรือลดลงเรื่อย ๆ (Lower High) แต่เส้น RSI มีการปรับตัวขึ้น บ่งบอกถึงสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาขึ้น ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Buy จึงได้เปรียบมากกว่า

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการกำหนดจุดเข้าซื้อ ควรพิจารณาระดับของ RSI Indicator ควบคู่ไปด้วย โดยเส้น RSI จะต้องอยู่ต่ำกว่าระดับ 30 เท่านั้น

RSI Divergence

RSI Bearish Divergence คืออะไร ?

RSI Bearish Divergence คือ Divergence ขาลง โดยจะเกิดขึ้นเมื่อราคากำลังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น หรือเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ (Higher High) แต่เส้น RSI มีการปรับตัวลง บ่งบอกถึงสัญญาณว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับตัวเป็นแนวโน้มขาลง ดังนั้น การเปิดออเดอร์ Sell จึงได้เปรียบมากกว่า

นอกจากนี้ เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการกำหนดจุดเข้าซื้อ ควรพิจารณาระดับของ RSI Indicator ควบคู่ไปด้วย โดยเส้น RSI จะต้องอยู่สูงกว่าระดับ 70 เท่านั้น

RSI Divergence

การใช้ RSI Divergence และ RSI Crossover

Divergence ที่เกิดจาก RSI คือ สัญญาณอันทรงพลังเพื่อการคาดการณ์แนวโน้ม ซึ่งหากคุณใช้ RSI Divergence ร่วมกับ RSI Crossover จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์ให้มากยิ่งขึ้น โดยปกติแล้ว RSI ตั้งค่าไว้ที่ 14 แต่ในกรณีของ RSI Crossover จำเป็นต้องเพิ่มเส้น RSI ขึ้นมาอีก 1 เส้น โดยใช้ตั้งค่า RSI ที่ 5 และเมื่อไรที่ RSI 5 และ RSI 14 ตัดกันจะเกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า “Crossover”

ข้อดีของการใช้ RSI Crossover คือ ในบางครั้งเส้น RSI ก็ไม่สามารถวิ่งไปถึงระดับ Overbought หรือ Oversold ได้ แต่เกิดการกลับตัว (Breakout) เลยทันที ซึ่งเทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักพลาดโอกาสในการเปิดออเดอร์จากกรณีเช่นนี้เป็นจำนวนมาก ซึ่ง RSI Crossover เข้ามาช่วยแก้ปัญหาจุดนี้ เนื่องจากให้สัญญาณเตือนล่วงหน้าที่ค่อนข้างรวดเร็วกว่ามาก

สัญญาณความหมาย
RSI 5 ตัด RSI 14 ลงมาสัญญาณเตือนแนวโน้มขาลง
RSI 5 ตัด RSI 14 ขึ้นไปสัญญาณเตือนแนวโน้มขาขึ้น

* หมายเหตุ : หลังจากที่คุณได้รับสัญญาณเตือนจาก RSI Crossover แล้ว จำเป็นต้องรอสัญญาณยืนยันอีกครั้งก่อนทำการเปิดออเดอร์ซื้อขาย ซึ่งนักเทรดหลายคนจะใช้ Crossover ร่วมกับการดู Price Pattern และเทคนิคอื่น ๆ

🐶 ภาพแสดงตัวอย่าง

RSI คือ

ความแตกต่างระหว่าง MACD กับ RSI คืออะไร ?

MACDRSI
MACD ใช้ได้ดีในช่วงที่ตลาดกำลังเป็นเทรนด์RSI ใช้ได้ดีในช่วงที่ตลาดเป็น Sideway
MACD หาจุดเข้าซื้อขายจากการตัดของเส้น MACD Line และ Signal LineRSI ใช้ดูภาวะ Overbought และ Oversold เพื่อเป็นสัญญาณในการเข้าซื้อขาย
MACD คำนวณด้วยค่าเฉลี่ยของราคาปิดย้อนหลัง 12 วัน และ 26 วันRSI คำนวณด้วยอัตราส่วนของเวลาที่เป็นขาขึ้นและขาลง
ตัวบ่งชี้ของ MACD คือ Histogram และ EMA (26,12,9)ตัวบ่งชี้ของ RSI คือ ค่าดัชนี 0-100
RSI และ MACD สามารถดู Divergence ได้ทั้งสอง ดังนั้น ควรใช้ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณเข้าซื้อขายที่แม่นยำมากขึ้น

สรุป RSI คืออะไร

RSI (Relative Strength Index) คือ อินดิเคเตอร์ประเภท Oscillator ที่ใช้วิเคราะห์แนวโน้มราคาในอนาคต และหาจุดเข้าซื้อขาย โดยนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในการเทรดทอง และมีชื่อในวงการทองว่า RSI Gold หรือ RSI Forex ซึ่งจุดแข็งของ Indicator RSI คือ สามารถส่งสัญญาณการเปลี่ยนแนวโน้มที่ค่อนข้างแม่นยำด้วย RSI Divergence และบอกถึงภาวะ Overbought และ Oversold ในตลาด

  • RSI ใช้ดู Overbought และ Oversold
  • RSI ใช้ดูสัญญาณการกลับตัว (Breakout)
  • RSI ใช้คอนเฟิร์มแนวโน้มในอนาคต
  • RSI ใช้หาจุดเข้าซื้อและขายออกด้วย Divergence

อีกทั้ง เทรดเดอร์ยังสามารถใช้เทคนิคการตีเส้น Trend Line ใน RSI และ Crossover เข้ามาช่วยเพิ่มความแม่นยำของสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ RSI ได้อีกด้วย นอกจากนี้ ถึงแม้ RSI จะค่อนข้างได้รับความนิยมมากในกลุ่มนักเทรด แต่การใช้ Indicator เพียงแค่ตัวเดียวในการวิเคราะห์ไม่ช่วยให้การเทรดมีประสิทธิภาพมากขนาดนั้น ดังนั้น ควรใช้ RSI ร่วมกับอินดิเคเตอร์ตัวอื่น เพื่อยืนยันสัญญาณซื้อขายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น

อย่างไรก็ตาม บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้ ไม่ใช่การแนะนำให้ลงทุนแต่อย่างไร และการลงทุนไม่ว่าจะในตลาดใดล้วนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนลงทุนทุกครั้งครับ

หากใครกำลังมองหาโบรกเกอร์ Forex อยู่ เราได้รวบรวมไว้ที่นี่!

———————————— 🐶 ————————————


อ่านบทความเพิ่มเติม: สาระน่ารู้

วิเคราะห์ราคาทองคำรายวัน: วิเคราะห์ราคาทองคำ และ Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter