ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันพุธ (12 ม.ค.) เนื่องจากดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของสหรัฐฯ ออกมาเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) อาจไม่เร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย
Dow Jones +0.11%
S&P500 +0.28%
Nasdaq +0.23%
กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยเมื่อคืนนี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 7.0% ในเดือน ธ.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2525 โดยเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด เชื่อว่าข้อมูลดังกล่าวจะไม่ทำให้ FED เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วไปกว่าที่คาดไว้ โดย FED ส่งสัญญาณว่าจะยุติโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ในเดือน มี.ค. และจะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้
นอกจากนี้ ตลาดยังได้ปัจจัยบวกจากการร่วงลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี โดยพันธบัตรประเภทดังกล่าวใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่าง ๆ เผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพุธ (12 ม.ค.) เช่นกัน โดยได้แรงหนุนจากรายงานตัวเลขดัชนีผู้บริโภค (CPI) เเละหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นจากความหวังว่า จีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้น หลังข้อมูลเงินเฟ้อที่ซบเซาในจีนบ่งชี้ว่า จีนมีโอกาสที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น โดยมีแนวโน้มที่ธนาคารกลางจีนจะอัดฉีดเงินมากขึ้นเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ลดลงได้ลดแรงกดดันจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี
Stoxx Europe 600 +0.65%
CAC-40 +0.75%
DAX +0.43%
FTSE 100 +0.81%
ในส่วนของตัวเลขทางเศรษฐกิจ นักลงทุนจับตาผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ของธนาคารรายใหญ่ในวันศุกร์นี้ ซึ่งรวมถึง เจพีมอร์แกน เชส, ซิตี้กรุ๊ป และเวลส์ ฟาร์โก นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เช่น จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดค้าปลีกเดือน ธ.ค., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ธ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคขั้นต้นเดือน ม.ค. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน