ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันอังคาร (25 ม.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ยูเครน และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เเต่ในระหว่างวัน ดัชนี Dow Jones ดีดตัวขึ้นจากระดับต่ำสุด โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคาร ในส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีดีดตัวขึ้นแตะระดับ 1.78%
Dow Jones -0.19%
S&P500 -1.22%
Nasdaq -2.28%
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดตัวเลขคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปีนี้ โดยระบุถึงผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19, ภาวะคอขวดในห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น
ทั้งนี้ IMF คาดว่า เศรษฐกิจโลกจะขยายตัว 4.4% ในปี 2565 ลดลงจากตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ระดับ 4.9% พร้อมกับคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐจะขยายตัวเพียง 4.0% ในปีนี้ ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 5.2% โดยได้รับผลกระทบจากการที่เฟดถอนมาตรการกระตุ้นทางการเงิน
ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวเล็กน้อยในวันอังคาร (25 ม.ค.) จากการร่วงลงอย่างหนักในวันจันทร์ ขณะที่การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนได้ช่วยหนุนตลาด โดยหุ้นอีริกสัน พุ่งขึ้นเกือบ 8% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 4 สูงเกินคาด
Stoxx Europe 600 +0.71%
CAC-40 +0.74%
DAX +0.75%
FTSE 100 +1.02%
ตลาดยังได้แรงหนุน หลัง Ifo ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเศรษฐกิจของเยอรมนี เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจของเยอรมนีดีดตัวขึ้นในเดือนม.ค. หลังจากร่วงลงติดต่อกัน 6 เดือน ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 95.7 ในเดือนม.ค. จากระดับ 94.8 ในเดือนธ.ค. และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 94.5
อย่างไรก็ตาม บรรดานักลงทุนมีความวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย และการลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางต่าง ๆ โดยอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นแรงหนุนกับหุ้นบางกลุ่ม อาทิ กลุ่มการเงิน แต่เป็นปัจจัยลบต่อหุ้นกลุ่มที่มีการขยายตัวสูงในตลาด อาทิ กลุ่มเทคโนโลยี
นักลงทุนจับตาผลการประชุม FED ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐฯ หรือในช่วงเช้าตรู่ของวันพรุ่งนี้ตามเวลาไทย นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ในสัปดาห์นี้ ซึ่งได้แก่ Microsoft, Tesla และ Apple
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ เอสแอนด์พี คอร์โลจิก เคส ชิลเลอร์ เปิดเผยผลสำรวจบ่งชี้ว่า ดัชนีราคาบ้านทั่วประเทศในสหรัฐพุ่งขึ้น 18.8% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี โดยราคาบ้านยังคงได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ของผู้ซื้อบ้าน และสต็อกบ้านที่ตึงตัว รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองที่ระดับต่ำ