ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 500 จุดเป็นวันที่สองติดต่อกันในวันศุกร์ (11 ก.พ.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังจากที่มีความกังวลอยู่แล้วเกี่ยวกับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ
Dow Jones -1.43%
S&P500 -1.90%
Nasdaq -2.78%
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ร่วงลง 3% และหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยร่วงลง 2.8% แต่หุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.8% สวนทางตลาด เนื่องจากราคาน้ำมันพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี
ขณะที่นักลงทุนมีความวิตกอยู่แล้วเกี่ยวกับเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นของสหรัฐฯ นั้น นักลงทุนได้พากันเทขายหุ้นออกมามากขึ้น หลังจากสหรัฐฯเตือนว่า รัสเซียมีกำลังทหารเพียงพอที่จะเปิดฉากบุกโจมตียูเครน และอาจจะเริ่มขึ้นในไม่กี่วันข้างหน้านี้
ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันศุกร์ (11 ก.พ.) โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีนำตลาดร่วงลง 2.2% หลังการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อที่ร้อนแรงเกินคาดของสหรัฐฯ และความเห็นที่สนับสนุนการคุมเข้มนโยบายการเงินจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ทำให้เกิดความวิตกว่า เฟดจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกมากขึ้น
Stoxx Europe 600 -0.59%
CAC-40 -1.27%
DAX -0.42%
FTSE 100 -0.15%
ตลาดถูกกดดัน หลังสหรัฐฯ เปิดเผยอัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้น 7.5% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งสูงกว่าคาด และเป็นการเพิ่มขึ้นรายปีสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2525 และนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟดสาขาเซนต์หลุยส์ส่งสัญญาณให้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 1% ภายในเดือนก.ค.ปีนี้
อีกทั้ง การเปิดเผยผลประกอบการที่น่าผิดหวังของบริษัทจดทะเบียนในยุโรปถ่วงหุ้นรายตัวร่วงลง โดยหุ้นดีลิเวอรี่ ฮีโร่ ซึ่งเป็นบริษัทส่งอาหารของเยอรมนี ร่วงลง 12% หลังเปิดเผยแนวโน้มผลประกอบการที่อ่อนแอในปีนี้ และนักวิเคราะห์ของบาร์เคลย์และเจพีมอร์แกนได้ปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นดังกล่าว
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจของยุโรปที่มีการเปิดเผยในวันศุกร์บ่งชี้ว่า เงินเฟ้อของเยอรมนีอยู่ที่ระดับ 4.9% เดือน ม.ค.