ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่งขึ้นกว่า 2% ในวันศุกร์ (25 ก.พ.) โดยปรับตัวขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์วันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2563 และตลาดฟื้นตัวขึ้นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันหลังจากดิ่งลงอย่างหนักเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เนื่องจากนักลงทุนขานรับรายงานข่าวที่ว่า รัสเซียส่งสัญญาณพร้อมเจรจากับยูเครน
Dow Jones +2.51%
S&P500 +2.24%
Nasdaq +1.64%
โดยการที่ราคาน้ำมันร่วงลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ช่วยคลายความวิตกเกี่ยวกับราคาพลังงานที่สูงขึ้น ส่งผลให้หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยหุ้นกลุ่มวัสดุและการเงินที่พุ่งขึ้น 3.58% และ 3.16% ตามลำดับ ตลาดขานรับรายงานข่าวที่ว่า กระทรวงการต่างประเทศของจีนได้เปิดเผยว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียได้บอกกับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีนทางโทรศัพท์ว่า รัสเซียเต็มใจที่จะจัดการเจรจาระดับสูงกับยูเครน
เเต่ในช่วงเช้าวันนี้ Dow Jone ร่วงลงกว่า 500 จุด หลังจากประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้สั่งการให้กองกำลังป้องปรามด้วยอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Deterrent Forces) เตรียมพร้อมในระดับสูงสุด เพื่อรับมือกับบรรดาชาติพันธมิตรขององค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่ส่งสัญญาณอันแข็งกร้าวว่าจะตอบโต้รัสเซีย หลังจากที่รัสเซียตัดสินใจบุกยูเครน เเละนักลงทุนวิตกกังวลว่า รัสเซียอาจจะถูกคว่ำบาตรรุนแรงมากขึ้นอีกครั้ง จากสหรัฐฯ พร้อมด้วยชาติพันธมิตรแห่งโลกตะวันตก เห็นพ้องกันที่จะตัดธนาคารรัสเซียบางแห่งออกจากระบบ SWIFT
ตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยจากกระทรวงพาณิชย์ระบุว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จากกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 5.2% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2526 และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 5.1%
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันศุกร์ (25 ก.พ.) โดยได้แรงหนุนจากความหวังเกี่ยวกับการเจรจาทางการทูตระหว่างรัสเซียและยูเครน หลังทำเนียบประธานาธิบดีเปิดเผยว่า รัสเซียพร้อมส่งตัวแทนไปยังกรุงมินสก์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของเบลารุส เพื่อเจรจากับตัวแทนของยูเครน
Stoxx Europe 600 +3.32%
CAC-40 +3.55%
DAX +3.67%
FTSE 100 +3.91%
ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้นมากกว่า 3% หลังร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดของเดือนพ.ค. 2564 เมื่อวันพฤหัสบดี โดยตลาดหุ้นฝรั่งเศสและเยอรมนีพุ่งขึ้นมากกว่า 3% ด้วยเช่นกัน ขณะที่ตลาดหุ้นอังกฤษพุ่งขึ้นเกือบ 4% แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็ยังคงติดลบเป็นสัปดาห์ที่ 2 ติดต่อกัน โดยในสัปดาห์นี้ร่วงลง 1.6% และร่วงลงราว 8% จากระดับสูงสุดของเดือน ม.ค.
ในบรรดาหุ้นรายตัวนั้น หุ้นปอร์เช่ เอสอี และหุ้นโฟล์คสวาเก้น พุ่งขึ้น 3.8% และ 5.2% ตามลำดับ หลังเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการนำหุ้นปอร์เช่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นเยอรมนี แรงซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัยช่วยหนุนตลาดด้วย โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม, สาธารณูปโภค, เฮลท์แคร์ และสินค้าอุปโภคบริโภค เป็นกลุ่มที่ช่วยหนุนตลาดขึ้นมากที่สุด
อีกทั้งหุ้นกลุ่มธนาคารทะยานขึ้น 4.3% แต่เตรียมรับผลกระทบจากมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของยุโรปต่อรัสเซีย ซึ่งอาจทำให้ธนาคารของรัสเซียไม่สามารถเข้าถึงตลาดการเงินของยุโรป นอกจากนี้ แนวโน้มที่ธนาคารกลางต่าง ๆ จะชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อันเนื่องมาจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับผลกระทบจากวิกฤตความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนนั้นได้ถ่วงหุ้นกลุ่มธนาคารลงด้วย
อย่างไรก็ตามหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) คาดการณ์ว่า ความขัดแย้งของยูเครนอาจลดผลผลิตทางเศรษฐกิจของยูโรโซนลง 0.3-0.4% ในปีนี้