ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยในวันจันทร์ (14 มี.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงกว่า 2% เนื่องจากนักลงทุนเทขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ก่อนที่การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางการคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี
Dow Jones +0.003%
S&P500 -0.74%
Nasdaq -2.04%
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างผันผวน ก่อนที่การประชุมนโยบายการเงินของเฟดจะเปิดฉากขึ้นในวันอังคารที่ 15 มี.ค. และจะมีการแถลงผลการประชุมในวันพุธที่ 16 มี.ค. ตามเวลาสหรัฐฯ หรือตรงกับช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสบดีที่ 17 มี.ค. ตามเวลาไทย ขณะที่นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ซึ่งจะเป็นการปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี หรือนับตั้งแต่ปี 2561
ความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนยังเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขาย โดยรายงานล่าสุดระบุว่า การเจรจาสันติภาพรอบที่ 4 ระหว่างยูเครนและรัสเซียเมื่อวานนี้ได้เสร็จสิ้นลงโดยยังไม่ได้ข้อสรุป ทำให้ทั้งสองฝ่ายพักการเจรจาชั่วคราว ก่อนที่จะเริ่มการเจรจาครั้งใหม่ในวันนี้ (15 มี.ค.)
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มที่คำนวนณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 2.89% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงเกือบ 6% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.42% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ดิ่งลง 2.86% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ลดลง 1.86% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 3.58% อีกทั้งการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ช่วยหนุนดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น 1.25% โดยหุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.18% หุ้นซิตี้กรุ๊ป บวก 0.13% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 2.84%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กประกาศปรับเวลาซื้อขายเร็วขึ้น 1 ชั่วโมง เนื่องจากเข้าสู่ช่วง Daylight Saving Time โดยเปลี่ยนแปลงเวลาซื้อขายจากเดิม 21:30 – 04:05 น. ตามเวลาไทย เป็น 20:30-03:05 น. ตามเวลาไทย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 13 มี.ค. – 6 พ.ย. 2565
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันจันทร์ (14 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากความพยายามทางการทูตระหว่างยูเครนและรัสเซียที่จะยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาหลายสัปดาห์ โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซียส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกจากการเจรจากับยูเครน
Stoxx Europe 600 +1.20%
CAC-40 +1.75%
DAX +2.21%
FTSE 100 +0.53%
หุ้นกลุ่มรถยนต์ บวก 3.3% นำโดยหุ้นโฟล์คสวาเกน พุ่งขึ้น 4.4% หลังเปิดเผยผลกำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นสองเท่า เเละหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น 3.2% ขานรับแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ขณะที่ความหวังเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ที่พึ่งพาตลาดจีน ร่วงลง 2.6% เนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจจีน อีกทั้งหุ้นกลุ่มสินค้าหรูหรา อาทิ หลุยส์วิตตองและริชมอนต์ ซึ่งพึ่งพายอดขายในตลาดจีน ก็ปรับตัวลงด้วย