ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงในวันพุธ (23 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และจะผลักดันให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประชุมผู้นำองค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ที่กรุงบรัสเซลส์เพื่อวางแผนกดดันรัสเซียให้ยุติการโจมตียูเครน
Dow Jones -1.29%
S&P500 -1.23%
Nasdaq -1.32%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่วา การพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันจะส่งผลให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ และบั่นทอนการเติบโตของเศรษฐกิจ อีกทั้งจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันให้เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่งขึ้นกว่า 5% เมื่อคืนนี้ หลังมีรายงานว่าบริษัทแคสเปียน ไปป์ไลน์ คอนซอร์เทียม (Caspian Pipeline Consortium -CPC) ของคาซัคสถาน ระงับการส่งออกน้ำมันเนื่องจากประสบความเสียหายจากพายุ
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 1.84% โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.16% หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ลดลง 1.88% หุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.99% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 2.49%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ร่วงลง 1.77% โดยหุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส ร่วงลง 4.08% หุ้นไฟเซอร์ ร่วงลง 1.68% หุ้นอิไล ลิลลี่ (Eli Lilly) ลดลง 0.29% หุ้นจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน ปรับตัวลง 0.39%
หุ้นอะโดบี (Adoby) ดิ่งลง 9.34% หลังจากบริษัทปรับลดคาดการณ์ผลกำไรและรายได้ในไตรมาส 2/2565 และคาดการณ์ว่าผลประกอบการตลอดปี 2565 จะได้รับผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน
หุ้นอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล ปรับตัวลง 1.14% หลังบริษัทประกาศว่าจะระงับการลงโฆษณาทั้งหมดที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน
หุ้นโบอิ้ง ร่วงลง 2.69% โดยราคาหุ้นปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์เครื่องบินโบอิ้ง 737 ของสายการบินไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส ตกในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีนเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ผู้โดยสาร 132 คนเสียชีวิตทั้งหมด
ส่วนทางกับดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.74% โดยหุ้นเบเกอร์ ฮิวจ์ ทะยานขึ้น 2.87% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.63% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ พุ่งขึ้น 2.54% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 1.58% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 1.1%
หุ้น GameStop ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายวิดีโอเกมชื่อดังในสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 14.5% หลังมีรายงานว่านายไรอัน โคเฮน ประธานของ GameStop ได้เข้าซื้อหุ้นในบริษัทจำนวน 1 แสนหุ้น
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 2% สู่ระดับ 772,000 ยูนิตในเดือนก.พ. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 810,000 ยูนิต โดยยอดขายบ้านใหม่ได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งขึ้น และการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงในวันพุธ (23 มี.ค.) เนื่องจากนักลงทุนขายหุ้นออกมา ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบจากการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน
Stoxx Europe 600 -1.01%
CAC-40 -1.17%
DAX -1.31%
FTSE 100 -0.22%
หุ้นเกือบทุกกลุ่มปรับตัวลงสู่แดนลบ โดยกลุ่มสาธารณูปโภคนำตลาดร่วงลง 2.5% ขณะที่หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซสวนทางตลาดบวก 2%
นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันยังคงปรับตัวขึ้น และวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามในยูเครน
บรรดาเทรดเดอร์ยุโรปยังคงจับตาสถานการณ์ยูเครนอย่างใกล้ชิด ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนแห่งสหรัฐเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ในวันพุธและพฤหัสบดีนี้เพื่อเข้าร่วมประชุมสุดยอดฉุกเฉินของนาโต, พบปะกับผู้นำประเทศกลุ่ม G7 และหารือกับผู้นำยุโรปในการประชุมของคณะมนตรียุโรป
นายเจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐฯ เปิดเผยในวันอังคารว่า ประธานาธิบดีไบเดนและผู้นำยุโรปจะประกาศมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ต่อรัสเซียในการเดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์ในสัปดาห์นี้
ด้านประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีแห่งยูเครน เรียกร้องให้เพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งดูเหมือนเข้าสู่ภาวะชะงักงัน ขณะที่นายเยนส์ สโตลเทนเบิร์ก เลขาธิการนาโตเปิดเผยในวันพุธว่า นาโตมีแนวโน้มที่จะเพิ่มกำลังทหารในบัลแกเรีย, ฮังการี, โรมาเนีย และสโลวาเกีย
นักลงทุนจับตาการประชุมผู้นำนาโตที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียมในวันนี้ (24 มี.ค.) เพื่อหารือกันเกี่ยวกับการวางแผนกดดันให้รัสเซียยุติการโจมตียูเครน ขณะที่ประธานาธิบดีโจ ไบเดนได้เดินทางไปยังกรุงบรัสเซลส์เพื่อพบปะหารือกับผู้นำของนาโตด้วย
เเละข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่น ๆ ของสหรัฐฯ ที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน ก.พ., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือน มี.ค.จากมาร์กิต, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือน มี.ค. จากมาร์กิต, ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือน ก.พ. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน มี.ค. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน