ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันศุกร์ (25 มี.ค.) และดัชนี S&P500 ปิดเพิ่มขึ้นด้วย เนื่องจากหุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวขึ้นหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
Dow Jones +0.44%
S&P500 +0.51%
Nasdaq -0.16%
ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์บวก 0.3%, ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.8% และดัชนี Nasdaq บวก 2%
หุ้นกลุ่มการเงินบวก 1.3% และหนุนดัชนี S&P500 ขึ้นมากที่สุดในวันศุกร์ ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นเพียง 2 กลุ่มที่ปิดตลาดปรับตัวลงในวันศุกร์ ในส่วนของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้นตัวใหญ่ในกลุ่มเติบโตปรับตัวลง ซึ่งฉุดให้ดัชนี Nasdaq ลดลงอีกด้วย
บรรดานักลงทุนกำลังประเมินแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า เฟดจำเป็นต้องเร่งดำเนินการเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ และเพิ่มความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือน พ.ค. คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% จำนวน 4 ครั้งในปีนี้
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ พุ่งขึ้นในวันศุกร์อยู่ที่ 2.492% ซึ่งระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี ขณะที่ตลาดวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่ระดับสูง และกังวลว่าการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
หุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้น 1.5% เนื่องจากนักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นกลุ่มปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ดำเนินมากว่า 1 เดือนแล้ว อีกทั้งหุ้นกลุ่มพลังงานยังช่วยหนุนตลาดด้วย โดยปิดบวก 2.3% หลังราคาน้ำมันพุ่งขึ้นอย่างมาก
ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยในวันศุกร์ ได้แก่ ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 59.4 ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี จากระดับ 62.8 ในเดือน ก.พ. และต่ำกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 59.7 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่า ดัชนีความเชื่อมั่นอาจจะทรงตัวที่ระดับ 62.8 ในเดือน มี.ค. ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น หลังการทะยานขึ้นของราคาน้ำมัน
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (25 มี.ค.) ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์สงครามในยูเครน และประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินทั่วโลก
Stoxx Europe 600 +0.11%
CAC-40 -0.03%
DAX +0.22%
FTSE 100 +0.21%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง 0.2% ในสัปดาห์ก่อน ขณะที่ราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นจากมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียนั้นทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อและการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อีกทั้งนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการขาดแคลนพลังงาน หลังรัสเซียเตือนว่า ผู้ซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียต้องชำระเงินเป็นสกุลรูเบิล
หุ้นกลุ่มพลังงาน วัสดุพื้นฐาน และเทคโนโลยีปรับตัวขึ้น สวนทางกับหุ้นกลุ่มธนาคารและกลุ่มปลอดภัยที่ปรับตัวลง สำหรับหุ้นกลุ่มวัสดุพื้นฐานของยุโรปปรับตัวขึ้น 20% แล้วในปีนี้ และดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 15%
นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันหลังสถาบันไอโฟเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีลดลงในเดือน มี.ค. เนื่องจากสถานการณ์ด้านห่วงโซ่อุปทานย่ำแย่ลงซึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันในระดับสูง แต่เศรษฐกิจในไตรมาสแรกยังไม่เผชิญกับภาวะถดถอย
ส่วนหุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้นได้แก่ หุ้นเทเลคอม อิตาเลีย บวก 1.8% หลังแหล่งข่าวเปิดเผยว่า บริษัทซีวีซี แคปิตอล พาร์ตเนอร์ส และนักลงทุนเอกชนเตรียมเข้าลงทุนในธุรกิจบริการของเทเลคอม อิตาเลีย เเละหุ้นเจนเนอราลี่ ปรับตัวขึ้น 1.9% โดยได้แรงหนุนจากแผนการใหม่ของบริษัทที่มุ่งเป้าไปที่การขยายตัวเพิ่มขึ้น