ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลดลงในวันศุกร์ (6 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จำเป็นจะต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกเพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ นักลงทุนส่วนใหญ่คาดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% ในการประชุมเดือน พ.ย. แม้นายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ปฏิเสธการคาดการณ์ดังกล่าวก็ตาม
Dow Jones -0.30%
S&P500 -0.57%
Nasdaq -1.40%
ข้อมูลจากดาวโจนส์ มาร์เก็ต ดาต้า ระบุว่า Dow Jones ปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 6 ติดต่อกันแล้ว ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2563 และปรับตัวลงเป็นสัปดาห์ที่ 5 ติดต่อกันนานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ของปี 2555 และดัชนี S&P500 ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 5 นานที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2554
หุ้น 9 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปรับตัวลง ขณะที่หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น 2.9% สวนทางตลาดโดยได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากความวิตกด้านอุปทาน
หุ้นกลุ่มเติบโตขนาดใหญ่ปรับตัวลง ยกเว้นบางตัว เช่น หุ้นแอปเปิล บวก 0.5% ขณะที่หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 0.5% และนำหุ้นกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ปรับตัวลงด้วย
หุ้นอันเดอร์ อาร์เมอร์ อิงค์ ซึ่งผลิตชุดกีฬา ร่วงลง 23.8% หลังคาดการณ์แนวโน้มผลกำไรปี 2566 ในเชิงลบ ขณะที่หุ้นไนกี้ ซึ่งเป็นบริษัทคู่แข่งปรับตัวลงด้วย ในส่วนของหุ้นคอยน์เบส โกลบอล อิงค์ ร่วงลง 9% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เริ่มซื้อขายในตลาดเมื่อปีที่แล้ว
บรรดานักลงทุนจะจับตาการเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) รายเดือนในวันพุธหน้า เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ใกล้แตะระดับสูงสุดแล้วหรือไม่
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยในวันศุกร์ (6 พ.ค.) ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 428,000 ตำแหน่งในเดือน เม.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 400,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานทรงตัวที่ระดับ 3.6% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.5% และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงโดยเฉลี่ยของแรงงาน เพิ่มขึ้น 0.3% ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.4%
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงในวันศุกร์ (6 พ.ค.) และปรับตัวลงในรอบสัปดาห์นี้รุนแรงที่สุดในรอบ 2 เดือน เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มค้าปลีกเผชิญกับแรงเทขาย ท่ามกลางแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้น
Stoxx Europe 600 -1.91%
CAC-40 -1.73%
DAX -1.64%
FTSE 100 -1.54%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลง 2% และกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 2.4% ซึ่งดัชนีหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอ บ่งชี้ถึงผลกระทบจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น, สงครามในยูเครน และการล็อกดาวน์รอบใหม่ในจีน
หุ้นอาดิดาส ร่วง 3.6% หลังปรับลดคาดการณ์ยอดขายในปีนี้ เนื่องจากการล็อกดาวน์รอบใหม่ของจีนส่งผลกระทบกับยอดขาย
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงตามหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น
ข้อมูลการจ้างงานที่แข็งแกร่งเกินคาดของสหรัฐฯ ได้เพิ่มความวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากขึ้น
นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยภายในปีนี้ และอาจปรับขึ้นอย่างเร็วที่สุดในเดือน ก.ค. หลังการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของยูโรโซนที่สูงเป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ปรับตัวขึ้น 0.5% สวนทางตลาด หลังจากราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นเหนือระดับ 110 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากสหภาพยุโรปเตรียมคว่ำบาตรน้ำมันรัสเซีย