ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 5 ในวันพุธ (11 พ.ค.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงกว่า 3% หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าอาจจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
Dow Jones -1.02%
S&P500 -1.65%
Nasdaq -3.18%
กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อจากการใช้จ่ายของผู้บริโภค พุ่งขึ้น 8.3% ในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 8.1% แต่ต่ำกว่าระดับ 8.5% ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2524
ส่วนดัชนี CPI พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน พุ่งขึ้น 6.2% ในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายปี สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.0% แต่ต่ำกว่าระดับ 6.5% ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2525
ตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐฯ พุ่งขึ้นรวดเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งจะเปิดทางให้เฟดใช้เป็นเหตุผลในการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วขึ้นและรุนแรงขึ้น โดยก่อนหน้านี้เฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมเดือน มิ.ย. แต่ตัวเลขเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วอาจทำให้เฟดปรับขึ้นดอกเบี้ยแรงถึง 0.75% ในการประชุมเดือนดังกล่าว
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นเหนือระดับ 3% เมื่อคืนนี้ หลังสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อสูงกว่าคาด โดยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ถือเป็นพันธบัตรที่ใช้อ้างอิงในการกำหนดราคาของตราสารหนี้ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง หากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น จะทำให้บริษัทต่างๆเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นจากการชำระหนี้ ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทเหล่านี้ลดการลงทุน และลดการจ่ายเงินปันผลแก่นักลงทุน
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ร่วงลง 3.57% โดยหุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ ดิ่งลง 4.23%, หุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 9.24%, หุ้นราล์ฟ ลอเรน ร่วงลง 2.75% เเละหุ้นไนกี้ บดลง 1.47%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 3.3% โดยหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 6.35%, หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.32%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ร่วงลง 4.51%, หุ้นแอมะซอน ดิ่งลง 3.20% เเละหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 5.18%
หุ้นคอยน์เบส โกลบอล (Coinbase Global) ทรุดตัวลง 26.4% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1 ต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ เนื่องจากความผันผวนของตลาดทั่วโลก ส่งผลให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง
อย่างไรก็ตาม หุ้นกลุ่มพลังงานดีดตัวขึ้น หลังราคาน้ำมัน WTI ทะยานขึ้น 6% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเชฟรอน พุ่งขึ้น 1.43%, หุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.08%, หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 1.02%, หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 1.17% เเละหุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลีย บวก 1.4%
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันพุธ (11 พ.ค.) โดยปรับตัวขึ้นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน และหุ้นที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจพุ่งขึ้นขานรับสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อชะลอการขยายตัวในเดือน เม.ย.
Stoxx Europe 600 +1.74%
CAC-40 +2.50%
DAX +2.17%
FTSE 100 +1.44%
ดัชนี STOXX 600 ปรับตัวขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์วันเดียวมากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือน มี.ค. โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่, กลุ่มรถยนต์ รวมถึงกลุ่มน้ำมันและก๊าซ พุ่งขึ้นมากกว่า 3%
การเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสของบริษัทจดทะเบียน และข่าวเกี่ยวกับกิจกรรมการควบรวมกิจการช่วยหนุนตลาดด้วย
หุ้นแมตช์ บริษัทบุหรี่ของสวีเดน พุ่งขึ้น 9% หลังบริษัทฟิลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชันแนล อิงค์เปิดเผยว่า จะเสนอซื้อกิจการของแมตช์เป็นเงินสดประมาณ 1.612 แสนล้านโครนสวีเดน (1.6 หมื่นล้านดอลลาร์)
หุ้นธิสเซ่นครุปป์ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 11.2% หลังปรับเพิ่มแนวโน้มยอดขายและผลกำไรจากการดำเนินงานในปี 2565 ขณะที่หุ้นคอมพาสส์ กรุ๊ปของอังกฤษ พุ่งขึ้น 7.4% หลังปรับเพิ่มคาดการณ์รายได้ประจำปี
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการที่สหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ชะลอการขยายตัวลงอย่างมากในเดือน เม.ย. เนื่องจากราคาน้ำมันเบนซินลดลงจากระดับสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อาจแตะระดับสูงสุดแล้ว