ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 200 จุดในวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการร่วงลงของหุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ หลังจากบริษัทเปิดเผยผลประกอบการที่ต่ำกว่าคาด
Dow Jones -0.75%%
S&P500 -0.58%
Nasdaq -0.26%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับปัจจัยลบจากความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเงินเฟ้อ และผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นจากการที่เฟดเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ย และคาดว่าตลาดจะเผชิญกับความผันผวนต่อไปอีกจนถึงช่วงฤดูร้อน
หุ้นซิสโก ซิสเต็มส์ ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่และเป็น 1 ใน 30 หลักทรัพย์ที่คำนวณในดัชนีดาวโจนส์ ปิดร่วงลง 13.73% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2565 อยู่ที่ 87 เซนต์ ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 86 เซนต์ ส่วนรายได้อยู่ที่ 1.284 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 1.334 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ซิสโก ซิสเต็มคาดการณ์ว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 76-84 เซนต์ ซึ่งต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 92 เซนต์ และคาดว่ารายได้จะลดลงราว 5.5% โดยบริษัทระบุว่า สงครามในยูเครนและมาตรการล็อกดาวน์ในจีนได้ส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานสูงขึ้น และทำให้บริษัทเผชิญปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนที่จำเป็นต่อการผลิต
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากความกังวลที่ว่า การที่เฟดเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วจะส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอย โดยโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า มีโอกาส 35% ที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะถดถอยในอีก 2 ปีข้างหน้า ขณะที่เวลส์ฟาร์โกคาดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะเข้าสู่ภาวะถดถอยเล็กน้อยในช่วงสิ้นปี 2565 จนถึงต้นปี 2566
หุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกถูกเทขายอย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางความกังวลที่ว่าภาวะเงินเฟ้อได้เริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก ทั้งนี้ หุ้นทาร์เก็ต ร่วงลง 5.06%, หุ้นเบสท์ บาย ดิ่งลง 3.04% เเละหุ้นวอลมาร์ท ร่วงลง 2.74%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังคงถูกเทขายเช่นกัน โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 2.46%, หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 0.94%, หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 1.35% เเละหุ้นไมครอน เทคโนโลยี ดิ่งลง 2.32%
หุ้นโคห์ลส์ คอร์ป ซึ่งเป็นห้างค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ปิดตลาดดีดตัวขึ้น 4.72% หลังจากที่ร่วงลงอย่างหนักในช่วงแรก ภายหลังจากบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 11 เซนต์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 70 เซนต์ และได้ปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นในปีนี้ลงสู่ระดับ 6.45-6.85 ดอลลาร์ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 7.00-7.50 ดอลลาร์
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกเพิ่มขึ้น 21,000 ราย สู่ระดับ 218,000 ราย ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ม.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 200,000 ราย
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ยอดขายบ้านมือสองลดลง 2.4% สู่ระดับ 5.61 ล้านยูนิตในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2563 โดยได้รับผลกระทบจากการพุ่งขึ้นของราคาบ้านและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดร่วงลงในวันพฤหัสบดี (19 พ.ค.) โดยปรับตัวลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน เนื่องจากผลประกอบการที่ซบเซาของบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ ได้ตอกย้ำผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ
Stoxx Europe 600 -1.37%
CAC-40 -1.82%
DAX -1.26%
FTSE 100 -0.90%
หุ้นกลุ่มค้าปลีกของยุโรปร่วงลงเกือบ 2% และถ่วงตลาดลงมากที่สุด นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มอื่น ๆ ปรับตัวลงด้วย
บริษัททาร์เก็ต คอร์ปของสหรัฐฯ เปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสลดลงครึ่งหนึ่ง และบริษัทวอลมาร์ทปรับลดคาดการณ์ผลกำไร เนื่องจากต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่จำเป็นเท่านั้น
หุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ เทสโก้ และเซนสเบอรี เตือนเกี่ยวกับผลกำไรทั้งปีนี้ด้วย เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ หุ้นเนสท์เล่, เทสโก้, ดิอาจีโอ และยูนิลีเวอร์ ร่วงลง 4.5-5.5%
นักลงทุนได้ขายหุ้นเพื่อเข้าซื้อพันธบัตร ซึ่งเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการปรับลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางต่าง ๆ และความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามยูเครน
นอกจากนี้ มาตรการควบคุมโควิด-19 ของจีน ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยด้วย ซึ่งถ่วงดัชนี STOXX 600 ลง 12% แล้วในปีนี้
การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอของบริษัทจดทะเบียนถ่วงหุ้นรายตัวร่วงลง โดยหุ้นรอยัล เมลของอังกฤษ ร่วง 12.4% หลังเปิดเผยผลกำไรปี 2564-2565 ต่ำกว่าคาด