Market Watch จับตาดูโลก
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่งขึ้นกว่า 500 จุด ในวันพฤหัสบดี (26 พ.ค.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีก รวมทั้งรายงานการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด
Dow Jones +1.61%
S&P500 +1.99%
Nasdaq +2.68%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยหนุนจากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทค้าปลีก โดยเมซีส์ ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 1.08 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 0.82 ดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่ารายได้ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 1% สู่ระดับ 2.47 หมื่นล้านดอลลาร์
ส่วนบริษัทดอลลาร์ เจเนอรัล เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1 อยู่ที่ 2.41 ดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 2.32 ดอลลาร์ นอกจากนี้ บริษัทคาดการณ์ว่า รายได้ในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 10.5% สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เดิมที่ 10%
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของทั้งสองบริษัทช่วยหนุนหุ้นกลุ่มธุรกิจค้าปลีกดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง โดยหุ้นโลว์ส (Lowe’s) พุ่งขึ้น 3.62%, หุ้นทาร์เก็ต พุ่งขึ้น 4.33%, หุ้นวอลมาร์ท ดีดขึ้น 2.13%, หุ้นเมซีส์ ทะยานขึ้น 19.31% และหุ้นดอลลาร์ เจเนอรัล พุ่งขึ้น 13.78%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีได้รับแรงซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยหุ้นแอปเปิล พุ่งขึ้น 2.32%, หุ้นไมโครซอฟท์ เพิ่มขึ้น 1.29%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส พุ่งขึ้น 4.24% และหุ้นซูม วิดีโอ คอมมูนิเคชัน ทะยานขึ้น 4.55%
หุ้นอินวิเดีย (Nvidia) ซึ่งเป็นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐฯ พุ่งขึ้น 5.16% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 1.36 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ 1.29 ดอลลาร์ ส่วนรายได้อยู่ที่ 8.29 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 8.11 พันล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มธนาคารดีดตัวขึ้น ขานรับมุมมองที่ว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยหนุนผลประกอบการของสถาบันการเงิน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน บวก 1.73%, หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.77%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา พุ่งขึ้น 2.32%, หุ้นซิตี้กรุ๊ป พุ่งขึ้น 2.64% และหุ้นเวลส์ ฟาร์โก พุ่งขึ้น 3.35%
หุ้นทวิตเตอร์ ทะยานขึ้น 6.35% หลังจากนายอีลอน มัสก์แสดงความมุ่งมั่นที่จะซื้อกิจการทวิตเตอร์ จากก่อนหน้านี้ที่เขาประกาศพักการเจรจาข้อตกลงซื้อทวิตเตอร์ชั่วคราว โดยอ้างว่า ต้องการตรวจสอบจำนวนบัญชีปลอมบนทวิตเตอร์
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังได้แรงหนุนจากรายงานการประชุมเดือน พ.ค. ของเฟดที่สอดคล้องกับการคาดการณ์ของตลาด โดยรายงานระบุว่า เฟดจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย 0.50% ทั้งในเดือน มิ.ย. และ ก.ค. และอาจชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงปลายปี หากอัตราเงินเฟ้อปรับตัวลง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 2 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1/2565 โดยระบุว่า GDP หดตัว 1.5% จากเดิมที่รายงานว่าหดตัว 1.4% ในตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ หดตัวเพียง 1.3%
ขณะที่กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 8,000 ราย สู่ระดับ 210,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 215,000 ราย
ทางด้านสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 3.9% ในเดือน เม.ย. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 99.3 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2563 และปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันพฤหัสบดี (26 พ.ค.) โดยหุ้นกลุ่มค้าปลีกนำตลาดปรับตัวขึ้น หลังจากอังกฤษเปิดเผยแผนกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ และตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยังคงยืนยันที่จะเดินหน้าปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดไว้
Stoxx Europe 600 +0.78%
CAC-40 +1.78%
DAX +1.59%
FTSE 100 +0.56%
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน โดยหุ้นส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นกลุ่มค้าปลีกนำตลาดพุ่งขึ้น 4.7% ถึงเเม้บรรยากาศการซื้อขายยังคงซบเซา เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่เกิดจากการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลาง
หุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ หุ้นโอคาโด, มาร์ค แอนด์ สเปนเซอร์, เน็กซ์ และแอสโซซิเอเต็ด บริติช ฟู้ดส์ ทะยานขึ้น 4.4-11.5% จากความหวังว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่วงเงิน 1.5 หมื่นล้านปอนด์ (1.9 หมื่นล้านดอลลาร์) ในการสนับสนุนภาคครัวเรือนนั้น จะกระตุ้นให้ผู้บริโภคยังคงใช้จ่ายต่อไป ขณะที่เผชิญกับรายจ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้น
หุ้นกลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวขึ้นด้วย โดยหุ้นหลุยส์วิตตอง พุ่ง 3.7%
รายงานการประชุมของเฟดเมื่อวันพุธ (25 พ.ค.) บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.50% ในการประชุม 2 ครั้งถัดไป เพื่อสกัดกั้นเงินเฟ้อ ขณะที่คาดว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเริ่มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ค.
นักวิเคราะห์คาดว่า ดัชนี STOXX 600 จะยังคงปิดตลาดเดือนนี้ติดลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับผลกระทบด้านการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย, สงครามรัสเซีย-ยูเครน และการควบคุมโรคโควิด-19 ของจีน
ผลสำรวจของรอยเตอร์บ่งชี้ว่า กลุ่มผู้จัดการกองทุนคาดว่า ดัชนี STOXX 600 จะแตะระดับ 450 จุดภายในสิ้นปีนี้ หรือราว 3.5% จากระดับปัจจุบัน