ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบในวันพุธ (26 ม.ค.) หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณว่าอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเวลาที่รวดเร็วขึ้น เพื่อสกัดเงินเฟ้อ เเละเช้าวันนี้ดัชนี Dow Jones ร่วงลงกว่า 200 จุด
Dow Jones -0.61%
S&P500 -0.15%
Nasdaq +0.02%
นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหลังเสร็จสิ้นการประชุมนโยบายการเงินในช่วงเช้าวันนี้ตามเวลาไทยว่า “ยังคงมีความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยไม่ให้ส่งผลกระทบต่อตลาดแรงงาน และเฟดไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้ที่ว่า อาจจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% เมื่อพิจารณาจากการพุ่งขึ้นของตัวเลขเงินเฟ้อ”
นายพาวเวลยังกล่าวด้วยว่า ดัชนีต่าง ๆ ที่เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อมีแนวโน้มที่จะปรับตัวขึ้นอีก ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่จะยังคงอยู่ในภาวะขาขึ้น
ตลาดหุ้นยุโรปฟื้นตัวขึ้นเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ปิดบวกในวันพุธ (26 ม.ค.) โดยหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ พุ่งขึ้น 4% ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2563 หลังจากได้รับผลกระทบจากความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งในยูเครน ขณะที่หุ้นกลุ่มเดินทาง และกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวขึ้นด้วย
Stoxx Europe 600 +1.68%
CAC-40 +2.11%
DAX +2.22%
FTSE 100 +1.33%
อย่างไรก็ตาม ความตึงเครียดทางการเมืองสกัดกั้นการปรับตัวขึ้นของตลาด แต่แรงซื้อโดยรวมได้ช่วยหนุนตลาด
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ยูเครนอย่างใกล้ชิด โดยล่าสุดทำเนียบเครมลินออกแถลงการณ์เตือนว่า รัสเซียจะตอบโต้อย่างรวดเร็ว หากสหรัฐและพันธมิตรปฏิเสธข้อเรียกร้องของรัสเซีย นอกจากนี้ รัสเซียจะไม่ตัดทางเลือกในการเพิ่มกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าไปในคิวบาและเวเนซุเอลา หากข้อเรียกร้องของรัสเซียไม่ได้รับการตอบสนอง
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยล่าสุดเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐรายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่พุ่งขึ้น 11.9% สู่ระดับ 811,000 ยูนิตในเดือนธ.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนมี.ค. และสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 760,000 ยูนิต แต่เมื่อเทียบรายปี ยอดขายบ้านใหม่ลดลง 14.0% ในเดือนธ.ค.