ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดพุ่งขึ้นเกือบ 600 จุดในวันพุธ (2 มี.ค.) หลังจากนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่าที่นักลงทุนวิตกกังวล นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์
Dow Jones +1.79%
S&P500 +1.86%
Nasdaq +1.62%
ตลาดหุ้นดีดตัวขึ้นหลังจากนายพาวเวลแถลงว่า เฟดจะยังคงทำตามแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ แม้ว่าวิกฤตการณ์ในยูเครนได้สร้างความไม่แน่นอนอย่างมากต่อแนวโน้มในอนาคต โดยแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ถ้อยแถลงของนายพาวเวลช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวล หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในเดือน มี.ค.
ตลาดยังได้แรงหนุนจากรายงานของออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง (ADP) ซึ่งระบุว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 475,000 ตำแหน่งในเดือน ก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 400,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ ADP ได้ปรับตัวเลขการจ้างงานในเดือน ม.ค. เป็นเพิ่มขึ้น 509,000 ตำแหน่ง จากเดิมรายงานว่าลดลง 301,000 ตำแหน่ง
หุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปรับตัวขึ้น นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารพุ่งขึ้น 2.55% ทั้งนี้ หุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่งขึ้น 2.49% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา เพิ่มขึ้น 1.62% หุ้นเจพีมอร์แกน พุ่งขึ้น 2.07% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ทะยานขึ้น 3.84%
นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือน ก.พ. ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ขณะที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 415,000 ตำแหน่ง นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่า ด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันนี้ (3 มี.ค.) โดยการแถลงจะเริ่มขึ้นในเวลา 10.00 น. ตามเวลาสหรัฐฯ หรือ 22.00 น. ตามเวลาไทย
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันพุธ (2 มี.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซที่พุ่งขึ้นกว่า 4% ตามราคาน้ำมันดิบ ขณะที่นักลงทุนจับตาวิกฤตการเมืองระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงดำเนินต่อไป
Stoxx Europe 600 +0.90%
CAC-40 +1.59%
DAX +0.69%
FTSE 100 +1.36%
การซื้อขายในตลาดหุ้นยุโรปเป็นไปอย่างผันผวนตามภาวะตลาดหุ้นเอเชียที่ปิดไร้ทิศทาง โดยได้รับแรงกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน การทำสงครามของสองประเทศดังกล่าวทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้น โดยสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ทะยานขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี และสัญญาน้ำมันดิบสหรัฐฯ พุ่งขึ้นราว 3% สู่ระดับ 106.63 ดอลลาร์/บาร์เรล
หุ้นรายตัวที่ช่วยหนุนตลาด ได้แก่ หุ้นเนสเต (Neste) บริษัทด้านวิศวกรรมของฟินแลนด์ พุ่งขึ้นมากกว่า 14% หลังประกาศร่วมทุนกับมาราธอน (Marathon) ซึ่งเป็นบริษัทน้ำมันของสหรัฐฯ เพื่อผลิตน้ำมันเชื้อเพลิงทดแทนทั่วโลก