ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันศุกร์ (8 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการดีดตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร ซึ่งร่วงลงในช่วงที่ผ่านมา แต่ดัชนี S&P500 ปิดลดลงหลังการซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวน ขณะที่นักลงทุนยังคงวิตกว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะดำเนินนโยบายคุมเข้มทางการเงินเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อ
Dow Jones +0.40%
S&P500 -0.27%
Nasdaq -1.34%
แต่ในรอบสัปดาห์ก่อน ดัชนี Dow Jones ลดลง 0.28%, ดัชนี S&P500 ปรับตัวลง 1.16% และดัชนี Nasdaq ร่วง 3.86% เนื่องจากตลาดได้รับผลกระทบจากความวิตกที่ว่าแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของเฟดจะทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง
หุ้น 7 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก โดยกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 2.76% แต่กลุ่มเทคโนโลยีร่วงลง 1.43% และเป็นกลุ่มที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุด
หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.18% หลังร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือนเมื่อวันพฤหัสบดี โดยหุ้นกลุ่มธนาคารได้แรงหนุนจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 ปีที่ 2.73%
หุ้นกลุ่มธนาคารรายใหญ่ที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นตามกัน โดยหุ้นเจพีมอร์แกน เชส พุ่ง 1.8%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา คอร์ป บวก 0.7%, หุ้นซิตี้กรุ๊ป เพิ่มขึ้น 1.7% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ พุ่ง 2.3%
ทั้งนี้ธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ จะเริ่มรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าจะรายงานผลประกอบการลดลงจากปีก่อนหน้า
หุ้นเทสลา, อินวิเดีย และอัลฟาเบท ร่วงลงราว 1.9-4.5% โดยถูกกดดันจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวขึ้น
ดัชนี NYSE FANG+TM ซึ่งประกอบด้วยหุ้นแอมะซอนและหุ้นแอปเปิล ร่วง 1.76% และหุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ ร่วง 2.42%
หุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้นยังรวมถึงหุ้นโครเกอร์ โค ซึ่งพุ่งขึ้น 2.99% หลังได้รับการปรับเพิ่มคำแนะนำลงทุน ส่วนหุ้นโรบินฮู้ด มาร์เก็ต อิงค์ ร่วง 6.88% หลังโกลด์แมน แซคส์ ปรับลดคำแนะนำลงทุน
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่เปิดเผยในวันศุกร์ที่ผ่านมา ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐอเมริการายงานสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 2.5% ในเดือน ก.พ. เมื่อเทียบรายเดือน และสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 2.1% หลังจากเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือน ม.ค. เมื่อเทียบรายปี สต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งพุ่งขึ้น 19.9% ในเดือน ก.พ. ส่วนยอดขายในภาคค้าส่งเพิ่มขึ้น 1.7% หลังจากพุ่งขึ้น 5.0% ในเดือน ม.ค.
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (8 เม.ย.) ขณะที่นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การเลือกตั้งประธานาธิบดีฝรั่งเศสรอบแรกในวันที่ 10 เม.ย. นอกจากนี้ตลาดยังจับตาแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และสถานการณ์เกี่ยวกับยูเครน
Stoxx Europe 600 +1.31%
CAC-40 +1.34%
DAX -1.89%
FTSE 100 +1.56%
หุ้นกลุ่มการเงินและกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์นำตลาดปรับตัวขึ้น ขณะที่หุ้นทุกกลุ่มปิดตลาดในแดนบวก โดยหุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ พุ่งขึ้น 3.2% จากผลกระทบจากวิกฤตยูเครน-รัสเซีย โดยสหภาพยุโรปได้อนุมัติมาตรการคว่ำบาตรครั้งใหม่ ซึ่งรวมถึงการห้ามนำเข้าถ่านหินจากรัสเซีย
หุ้นแบงโก บีพีเอ็ม ซึ่งเป็นธนาคารรายใหญ่ที่สุดอันดับ 3 ของอิตาลี พุ่งขึ้น 14.1% หลังธนาคารเครดิต อากริโคลของฝรั่งเศสเปิดเผยว่า ได้ซื้อหุ้น 9.2% ในแบงโก บีพีเอ็ม
หุ้นรายตัวที่ปรับตัวขึ้นรวมถึงหุ้นแอตแลนเทีย ซึ่งเป็นกลุ่มสาธารณูปโภคของอิตาลีพุ่งขึ้น 3.7% หลังมีรายงานว่า บริษัทเอดิซิโอเน (Edizione) ผู้ถือหุ้นรายใหญ่และบริษัทแบล็คสโตนอาจเสนอซื้อหุ้นแอตแลนเทียที่ราคา 24 ยูโรต่อหุ้นในช่วงเทศกาลอีสเตอร์