Market Watch จับตาดูโลก ประจำวันที่ 26 เมษายน 2565

Table of Contents

▪ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันจันทร์ (25 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อในช่วงท้ายตลาด ขณะที่ดัชนี Nasdaq พุ่งขึ้นกว่า 1% หลังจากราคาหุ้นทวิตเตอร์ทะยานขึ้นกว่า 5% ขานรับข่าวนายอีลอน มัสก์ บรรลุข้อตกลงซื้อกิจการทวิตเตอร์

Dow Jones +0.70%

S&P500 +0.57%

Nasdaq +1.29%

ในช่วงแรกนั้น ดัชนี Dow Jones ดิ่งลงเกือบ 500 จุด ซึ่งเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันศุกร์ที่ดัชนีร่วงลงเกือบ 1,000 จุด ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เเต่มีการตัวขึ้นในช่วงท้ายตลาด เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อ

หุ้น 6 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีพุ่งขึ้น 1.44% โดยหุ้นไมโครซอฟท์ พุ่งขึ้น 2.44%, หุ้นอัลฟาเบท พุ่งขึ้น 2.87%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ดีดขึ้น 1.56% เเละหุ้นแอมะซอน เพิ่มขึ้น 1.19%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ได้รับปัจจัยหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ที่ร่วงลงสู่ระดับ 2.797% เมื่อคืนนี้

หุ้นทวิตเตอร์ พุ่งขึ้น 5.66% หลังจากทวิตเตอร์ประกาศยอมรับข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์ จากนายอีลอน มัสก์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทเทสลา

ทางด้านนายจิม จอร์แดน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐสังกัดพรรครีพับลิกัน ขานรับข่าวการซื้อกิจการทวิตเตอร์ของนายอีลอน มัสก์ โดยเขามองว่าเป็นผลดีต่อเสรีภาพในการพูดและการแสดงออกตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ

หุ้นโคคา-โคล่า ปรับตัวขึ้น 1.06% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 ที่ระดับ 64 เซนต์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 58 เซนต์ และรายได้อยู่ที่ 1.05 หมื่นล้านดอลลาร์ สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับ 9.83 พันล้านดอลลาร์

อย่างไรก็ดี ดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลง 3.34% หลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลงกว่า 3% โดยหุ้นเชฟรอน ร่วงลง 2.20%, หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดิ่งลง 4.47%, หุ้นเอ็กซอน โมบิล ร่วงลง 3.37% เเละหุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ทรุดลง 6.26%

นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงแอปเปิล, เมตา แพลตฟอร์มส์, ไมโครซอฟท์, แอมะซอน และอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล

นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ด้วย ได้แก่ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือน มี.ค., ยอดขายบ้านใหม่เดือน มี.ค., ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) เดือน มี.ค., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ไตรมาส 1, ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เดือน มี.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

▪ ตลาดหุ้นยุโรป ปิดร่วงลงในวันจันทร์ (25 เม.ย.) โดยหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวลงอย่างหนัก ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วของสหรัฐฯ

Stoxx Europe 600 -1.81%

CAC-40 -2.01%

DAX -1.54%

FTSE 100 -1.88%

ตลาดหุ้นยุโรปร่วงลงปิดที่ระดับต่ำสุด นับตั้งแต่กลางเดือน มี.ค. ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อพันธบัตรซึ่งเป็นแหล่งลงทุนที่ปลอดภัย

โดยหุ้นที่พึ่งพารายได้จากจีน เช่น กลุ่มเหมืองแร่, น้ำมันและก๊าซ รวมถึงสินค้าหรูหราปรับตัวลงมากที่สุด เนื่องจากมีความวิตกมากขึ้นว่า อาจจะมีการล็อกดาวน์กรุงปักกิ่งเหมือนกับเซี่ยงไฮ้

หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ ร่วงลง 6% โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ร่วงหนักสุดในรอบ 2 ปี เนื่องจากราคาโลหะอุตสาหกรรมร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับอุปสงค์ที่ลดลงจากจีน ซึ่งเป็นผู้ใช้โลหะรายใหญ่ ขณะที่หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซร่วงลง 4.8%

หุ้นเอชเอสบีซี และสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ซึ่งมีความอ่อนไหวตามภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนของจีน ร่วงลง 4.1% และ 3.5% ตามลำดับ และหุ้นกลุ่มธนาคาร ร่วงลง 3%

ดัชนีความผันผวนของตลาดหุ้นยุโรปพุ่งขึ้นเหนือระดับ 30 จุด เป็นครั้งแรกในรอบเกือบ 2 สัปดาห์

นอกจากนั้น การเปิดเผยผลประกอบการที่อ่อนแอยังกดดันหุ้นรายตัว เช่น หุ้นฟิลิปส์ของเนเธอร์แลนด์ ร่วงลง 11.3% สู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2559 หลังรายงานผลกำไรไตรมาสแรกลดลง

Social Share
Facebook
Twitter