Market Watch จับตาดูโลก ประจำวันที่ 28 เมษายน 2565

Table of Contents

▪ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันพุธ (27 เม.ย.) ขานรับผลประกอบการที่แข็งแกร่งเกินคาดของบริษัทไมโครซอฟท์และวีซ่า เเต่บรรยากาศการซื้อขายในตลาดยังคงถูกกดดันจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก และการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)

Dow Jones +0.19%

S&P500 +0.21%

Nasdaq -0.01%

หุ้นไมโครซอฟท์ทะยานขึ้น 4.81% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 3 ของปีงบการเงิน 2565 อยู่ที่ 2.22 ดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.19 ดอลลาร์ ส่วนรายได้ในไตรมาส 4/2565 นั้น คาดว่าจะอยู่ที่ 5.24-5.32 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งตัวเลขคาดการณ์ของไมโครซอฟท์สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 5.295 หมื่นล้านดอลลาร์

หุ้นวีซ่า พุ่งขึ้น 6.47% หลังบริษัทเปิดเผยกำไรในไตรมาส 2 ของปีงบการเงิน 2565 เพิ่มขึ้น 21% แตะที่ 3.65 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.70 ดอลลาร์ต่อหุ้น จากช่วงเวลาเดียวกันของปีงบการเงิน 2564 ซึ่งอยู่ที่ 3.03 พันล้านดอลลาร์ หรือ 1.38 ดอลลาร์ต่อหุ้น

หุ้น 5 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มพลังงานพุ่งขึ้น 1.48% โดยหุ้นเอ็กซอน โมบิล พุ่งขึ้น 2.84%, หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ดีดขึ้น 1.89%, หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน พุ่งขึ้น 2.36% เเละหุ้นออคซิเดนเชียล ปิโตรเลีย บวก 1.4%

ดัชนีหุ้นกลุ่มวัสดุปรับตัวขึ้นกว่า 1.4% โดยหุ้นฟรีพอร์ท-แมคมอแรน พุ่งขึ้น 3.76%, หุ้นนูคอร์ พุ่งขึ้น 1.25%, หุ้นยูเอส สตีล คอร์ป บวก 0.73% เเละหุ้นวัลแคน มาเทเรียลส์ เพิ่มขึ้น 0.93%

นอกจากนั้น ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและการสื่อสารร่วงลง 2.61% หลังจากอัลฟาเบท ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิลเปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 24.62 ดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาส 4/2564 ซึ่งอยู่ที่ 30.69 ดอลลาร์ และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 25.91 ดอลลาร์

ทั้งนี้ หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 3.67%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ร่วงลง 3.32%, หุ้นทวิตเตอร์ ดิ่งลง 2.07%, หุ้นแอมะซอน ปรับตัวลง 0.88% เเละหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 4.97%

หุ้นโบอิ้ง ดิ่งลง 7.53% หลังบริษัทเปิดเผยตัวเลขขาดทุนนในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 2.75 ดอลลาร์/หุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 0.27 ดอลลาร์/หุ้น ส่วนรายได้อยู่ 1.399 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.602 หมื่นล้านดอลลาร์ เนื่องจากบริษัทเผชิญค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นในการผลิตเครื่องบินเชิงพาณิชย์ และเครื่องบินรบ โดยได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน

สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ สมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติของสหรัฐฯ (NAR) เปิดเผยว่า ดัชนีการทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (pending home sales) ลดลง 1.2% ในเดือน มี.ค. เมื่อเทียบรายเดือน สู่ระดับ 103.7 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 และปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5

▪ ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันพุธ (27 เม.ย.) โดยฟื้นตัวขึ้นหลังจากปรับตัวลง 3 วันติดต่อกัน ขณะที่หุ้นกลุ่มวัสดุพื้นฐานพุ่งขึ้น 4.5% แต่การที่บริษัทก๊าซพรอมของรัสเซียหยุดส่งก๊าซให้กับบัลแกเรียและโปแลนด์ และการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเยอรมนีที่ร่วงลงส่งผลกระทบต่อบรรยากาศการซื้อขาย

Stoxx Europe 600 +0.73%

CAC-40 +0.48%

DAX +0.27%

FTSE 100 +0.53%

ตลาดหุ้นยุโรปดีดตัวขึ้น หลังร่วงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ในช่วงเปิดตลาด โดยหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเป็นวันที่ 2 เกือบทั้งหมดหลังจากร่วงลง 6% เมื่อต้นสัปดาห์นี้

ตลาดหุ้นเยอรมนีปรับตัวขึ้นในช่วงท้ายตลาด แต่ก็ยังถูกกดดันจากการที่หุ้นดอยซ์ แบงก์ ร่วงลง 5.6% หลังเตือนว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน อาจส่งผลกระทบต่อผลประกอบการทั้งปีของธนาคาร และผลสำรวจที่บ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเยอรมนีจะลดลงต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือน พ.ค. เนื่องจากความขัดแย้งในยูเครนทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น และทำลายความหวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวหลังโรคระบาดสิ้นสุดลง

ส่วนการเปิดเผยผลประกอบการที่สดใสช่วยหนุนหุ้นเมอร์ซีเดส-เบนซ์ และหุ้นเฮลโลเฟรช ขณะที่หุ้นเอวีวาซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ร่วงลง 15.9% หลังเปิดเผยว่า มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทในปีนี้

อย่างไรก็ตาม ตลาดวิตกมากขึ้นเกี่ยวกับวิกฤตขาดแคลนพลังงาน หลังก๊าซพรอมยุติการส่งก๊าซให้กับบัลแกเรียและโปแลนด์ เนื่องจากสองประเทศไม่สามารถจ่ายค่าก๊าซเป็นสกุลเงินรูเบิล ซึ่งนับเป็นมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุดของรัสเซียต่อมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตกหลังบุกโจมตียูเครน

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงราว 3% ในเดือน เม.ย. เนื่องจากความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอลง, ภาวะเงินเฟ้อ, สงครามในยูเครน และแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะลดความต้องการเสี่ยงของนักลงทุน

▪ นักลงทุนจับตาประชุมนโยบายการเงินของเฟดในวันที่ 3-4 พ.ค. ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมครั้งนี้ เเละตลาดยังกังวลว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแรงขึ้นหลังเดือน พ.ค. โดยอาจปรับขึ้น 0.75% เพื่อสกัดเงินเฟ้อ

Social Share
Facebook
Twitter