Market Watch จับตาดูโลก ประจำวันที่ 19 พฤษภาคม 2565

Table of Contents

▪ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 1,100 จุด ในวันพุธ (18 พ.ค.) ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2563 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า ภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐฯ เริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทค้าปลีก นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยืนยันว่า จะไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเท่าที่จำเป็นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ

Dow Jones -3.57%

S&P500 -4.04%

Nasdaq -4.73%

ทาร์เก็ต ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า กำไรต่อหุ้นในไตรมาส 1/2565 ลดลงสู่ระดับ 2.19 ดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 3.07 ดอลลาร์ เนื่องจากผลกระทบของปัญหาห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งต้นทุนเชื้อเพลิงและค่าขนส่งที่สูงขึ้น เเละบริษัทยังต้องปรับลดราคาสินค้า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับบรรดาคู่แข่งในตลาดได้

การเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ของทาร์เก็ตมีขึ้นเพียงวันเดียวหลังจากวอลมาร์ท ซึ่งเป็นบริษัทค้าปลีกใหญ่ที่สุดในโลกเปิดเผยกำไรต่อหุ้นที่ต่ำกว่าคาดในไตรมาส 1 จากผลกระทบของภาวะเงินเฟ้อเช่นกัน

อีกทั้ง นักลงทุนเทขายหุ้น เนื่องจากกังวลว่าธุรกิจค้าปลีกเริ่มได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นแซงหน้าค่าจ้าง ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเป็นเวลานานกว่าที่คาดการณ์ไว้ ผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทค้าปลีกสะท้อนให้เห็นว่า เงินเฟ้อกำลังส่งผลกระทบต่ออำนาจซื้อของผู้บริโภค

หุ้นทาร์เก็ตปิดตลาดร่วงลง 24.93% ส่งผลให้ทาร์เก็ตสูญเสียมูลค่าตลาดราว 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แบล็คมันเดย์เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2530

หุ้นบริษัทค้าปลีกรายอื่น ๆ ร่วงลงหลังทาร์เก็ตเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ โดยหุ้นโฮมดีโปท์ ร่วงลง 5.24%, หุ้นเบสท์ บาย ดิ่งลง 10.52%, หุ้นวอลมาร์ท ร่วงลง 6.79%, หุ้นเมซีส์ ร่วงลง 10.70% เเละหุ้นดอลลาร์ ทรี ทรุดตัวลง 14.42%

หุ้นโลว์ส (Lowe’s) ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายสินค้าตกแต่งบ้านรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 5.15% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 2.366 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.376 หมื่นล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังถูกกดดันจากการที่นายพาวเวลยืนยันว่า เฟดจะไม่ลังเลในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเท่าที่จำเป็น เพื่อควบคุมเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งขึ้นรุนแรงจนสร้างความเสียหายต่อรากฐานเศรษฐกิจ

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีซึ่งมีความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ยร่วงลง โดยหุ้นแอปเปิล ร่วงลง 5.64%, หุ้นแอมะซอน ดิ่งลง 7.16%, หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 4.55%, หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ดิ่งลง 7.02% หุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 3.93%

▪ ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงในวันพุธ (18 พ.ค.) นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งถูกเทขายออกมา เนื่องจากนักลงทุนมีความวิตกอีกครั้งเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย

Stoxx Europe 600 -1.14%

CAC-40 -1.20%

DAX -1.26%

FTSE 100 -1.07%

หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 2.7% และการร่วงลงของราคาทองแดงถ่วงหุ้นกลุ่มวัสดุพื้นฐานลงด้วย

นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อและการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังอังกฤษเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) พุ่งขึ้นแตะระดับ 9% ในเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เเละใกล้เคียงกับที่ธนาคารกลางอังกฤษคาดไว้ว่า จะอยู่เหนือระดับ 10% ในปีนี้

นักวิเคราะห์รายหนึ่งกล่าวว่า นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย หลังอังกฤษเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปี

สำนักงานสถิติของอียูเปิดเผยว่า เงินเฟ้อของยูโรโซนอยู่ที่ระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 7.4% ในเดือน เม.ย. ซึ่งเป็นผลจากราคาเชื้อเพลิงและอาหารที่พุ่งขึ้น

ธนาคารกลางยุโรป (ECB) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังจากที่ยุติโครงการซื้อพันธบัตรในไตรมาส 3

นักวิเคราะห์รายหนึ่งระบุว่า ECB มีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 1% ภายในการประชุมเดือน ธ.ค. ปีนี้

หุ้นบางตัวปรับตัวขึ้น หลังการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง อาทิ หุ้นยูโรเน็กซ์ พุ่ง 3.9% ขานรับรายได้ที่สูงเป็นประวัติการณ์ แต่หุ้นเอบีเอ็น แอมโร ร่วงลง 11.9% แม้เปิดเผยผลกำไรสูงเกินคาด เนื่องจากธนาคารเตือนเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามในยูเครน

นอกจากนี้ หุ้นบางตัวยังบวกขึ้นสวนทางตลาดขานรับข่าวเกี่ยวกับการควบรวมกิจการ โดยหุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ของเยอรมนี พุ่งขึ้น 3.1% และหุ้นยูนิเครดิตของอิตาลี พุ่ง 2% หลังมีรายงานข่าวเกี่ยวกับการเจรจาควบรวมกิจการกันก่อนหน้านี้

Social Share
Facebook
Twitter