ลงทุนหุ้น Growth หรือ Value ดีกว่ากันในปี 2022 ?

Table of Contents
ลงทุนหุ้น

เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นต่างประเทศทั่วโลกและตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น สืบเนื่องจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และการจัดสรรวัคซีนได้อย่างรวดเร็วให้แก่ประชาชนของประเทศใหญ่ ๆ รวมถึงการทำ QE ของธนาคารกลางหลักทั่วโลก ช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับตลาดการเงินโลก ทำให้หุ้นเติบโตหรือ Growth Stock เช่น หุ้นเทคโนโลยีอย่าง Facebook, Amazon, Apple, Microsoft, Google และหุ้นในกลุ่ม Thematic เช่น หุ้นเทคโนโลยีขนาดกลางและเล็ก ให้ผลประกอบการที่ก้าวกระโดด แต่ก็มีความผันผวนมากเช่นกัน

ลงทุนหุ้น
Source: Schroders และ Refinitiv

จากภาพในปี 2020 หากเราพิจารณากลุ่มหุ้นเติบโต (ใช้ MSCI USA Growth Index เป็นตัวแทน Benchmark Index) นั้นสามารถสร้างผลตอบแทนทั้งปีได้ถึง 43% ในขณะที่หุ้นคุณค่า (ใช้ MSCI USA Value Index เป็นตัวแทน) สามารถทำผลตอบแทนได้เพียง 1%

ลงทุนหุ้น ในปีนี้หุ้น Value ยังน่าลงทุนอยู่หรือเปล่า ?

สำหรับแนวโน้มของหุ้น Growth และหุ้น Value ในปี 2021 ตั้งแต่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ จะเห็นว่า US Bond Yields (Bond Yields คือ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล) เริ่มปรับตัวสูงขึ้น โดยผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ที่กลับมาสู่ระดับ 1.2-1.3% เริ่มสร้างความกังวลต่อการปรับฐานของตลาดมากขึ้น โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่ปรับตัวขึ้นมาค่อนข้างมากในช่วงต้นปี เริ่มมีความเสี่ยงมากขึ้น โดยพื้นฐานแล้ว US Bond Yields ที่เพิ่มขึ้นไม่ใช่สิ่งที่เข้ามากดดันตลาดหุ้นมากนัก เนื่องจากถ้า Bond Yields ที่เพิ่มขึ้นมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น

พี่โบ้มองว่า ในอนาคตตลาดหุ้นต่างประเทศยังสามารถปรับขึ้นต่อได้ จากสัญญาณลดการผ่อนคลายนโยบายการเงินของ Fed, ECB และ BOJ โดยเฉพาะหุ้น Growth มีแนวโน้มปรับขึ้นต่อเนื่อง จากความแข็งแรงของบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรม เพราะ Covid-19 ทำให้เราต้องใช้ชีวิตแบบ New Normal ในขณะที่หุ้น Value ก็มีโอกาสปรับตัวขึ้นเช่นกัน ในช่วงเศรษฐกิจขยายตัว ทั้งยังได้ประโยชน์จากการปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอีกด้วย 

ลงทุนหุ้น Growth หรือ Value ดีกว่ากัน?

สำหรับตอนนี้ แน่นอนว่าหุ้น Growth ของสหรัฐฯ เป็นตลาดที่ควรลงทุนอยู่แล้ว แต่เราควรพิจารณาหุ้นในภูมิภาคอื่นนอกเหนือจากหุ้นสหรัฐฯ รวมทั้งอาศัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเข้าลงทุนหุ้น Value บ้าง เช่น หุ้นยุโรป หุ้นญี่ปุ่น รวมถึงหุ้นในภูมิภาค Emerging Asia เนื่องจากหุ้นในภูมิภาคเหล่านี้มีสัดส่วนหุ้นในกลุ่ม Value รวมถึงหุ้นวัฏจักร (Cyclical) ในสัดส่วนที่มากกว่าหุ้นสหรัฐฯ และมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในอนาคต

อย่างไรก็ตาม เราควรลงทุนทั้งหุ้น Growth และหุ้น Value เพื่อบริหารความเสี่ยง และเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่มากยิ่งขึ้น โดยพิจารณาหุ้นนอกกระแส เช่น หุ้น Value ไว้ในพอร์ตบ้าง


Source: ทีมงาน Traderbobo

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่: สาระน่ารู้

อ่านรีวิวโบรกเกอร์เพิ่มเติมได้ที่: Review Broker

Social Share
Facebook
Twitter