
Dow Theory คือ หนึ่งในทฤษฎีพื้นฐานที่มีมาอย่างยาวนาน ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจโครงสร้างและพฤติกรรมของตลาด และนำไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ได้อย่างมีระบบ 😎
ทฤษฎีดาว (Dow Theory) ถือเป็นพื้นฐานสำคัญที่เทรดเดอร์สายเทคนิคอลควรให้ความสนใจ เพราะเป็นรากฐานที่จะช่วยให้คุณเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาและแนวโน้มที่เกิดขึ้นในตลาดได้อย่างชัดเจน ไม่เพียงแต่เทรดเดอร์สายเทคนิคอลเท่านั้น เพราะแม้แต่ผู้ที่ต้องการเรียนรู้พื้นฐานการเทรดก็จำเป็นต้องศึกษาทฤษฎีนี้เช่นกัน หากคุณต้องการประสบความสำเร็จในการลงทุนมากขึ้น อย่ามองข้าม “ทฤษฎีดาว” เด็ดขาด!
*หมายเหตุ: บทความนี้จัดทำขึ้นเพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎี Dow Theory เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาเชิญชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด นักลงทุนควรศึกษารายละเอียดการลงทุนและความเสี่ยงให้ดีก่อนเริ่มทำการลงทุน
ทฤษฎีดาว (Dow Theory) คืออะไร?

Dow Theory เป็นทฤษฎีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ถูกวางรากฐานโดย Charles H. Dow ด้วยความเชื่อที่ว่า การเคลื่อนที่ของราคาจะสะท้อนทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตลาด และการเคลื่อนที่ของราคามักจะแสดงออกมาเป็นแนวโน้มเสมอ โดยทฤษฎีที่ว่า จะถูกแบ่งออกเป็น 6 หลักการง่าย ๆ
ทำไมทฤษฎี Dow Theory ถึงเป็นพื้นฐานของทุกอย่าง?
ในโลกการเงิน Dow Theory ค่อนข้างมีความสำคัญมากครับ ไม่เชิงว่าเป็นพื้นฐานซะทีเดียว แต่เจ้าทฤษฎีดาวก็ถือเป็นหนึ่งในรากฐานของเครื่องมือที่เราใช้วิเคราะห์กันอยู่ในปัจจุบันครับ เช่น แนวรับ-แนวต้าน, รูปแบบกราฟ แนวคิด Price Action และอื่น ๆ
ทฤษฎี Dow Theory มีหลักการอย่างไร?

หลักการใช้งานทฤษฎีดาวจะถูกแบ่งออกเป็น 6 ข้อด้วยกัน ดังนี้
- ตลาดสะท้อนความเคลื่อนไหวทุกอย่าง
- ตลาดมีแนวโน้มอยู่ 3 ประเภท
- แต่ละแนวโน้มหลักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเสมอ
- ดัชนีที่มีความสัมพันธ์กันควรยืนยันแนวโน้มกัน
- ปริมาณของการซื้อขาย (Volume) สามารถใช้ยืนยันแนวโน้มได้
- แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณการเปลี่ยนเทรน
โดยหลักการทั้ง 6 ข้อของทฤษฎีดาว มักจะสะท้อนสภาวะตลาดในแต่ละช่วงได้อย่างชัดเจน ดังนั้น ผมจะพาคุณไปรู้จักรายละเอียดของทั้ง 6 ข้อ เพื่อให้เห็นว่า ทำไมทฤษฎีดาวจึงกลายเป็นรากฐานสำคัญของการวิเคราะห์ทางเทคนิคครับ
1. ตลาดสะท้อนความเคลื่อนไหวทุกอย่าง
สภาวะตลาดจะเปลี่ยนแปลงไปตามปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งผลต่อราคา หมายความว่า รูปแบบการเคลื่อนไหวของตลาดในช่วงเวลานั้นจะเป็นอย่างไร มันก็ได้สะท้อนสภาพเศรษฐกิจ การเมือง และข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ เอาไว้เรียบร้อยแล้ว
2. ตลาดมีแนวโน้มอยู่ 3 ประเภท
หากคุณมองภาพรวมของเทรนด์ราคาขนาดใหญ่ คุณมักจะสังเกตเห็นถึงแนวโน้ม 3 ประเภทด้วยกัน ดังนี้
- แนวโน้มหลัก (Primary Trend) คือ แนวโน้มระยะยาวหลายเดือน-หลายปี
- แนวโน้มรอง (Secondary Trend) คือ แนวโน้มระยะกลาง ช่วงไม่กี่สัปดาห์-หลายเดือน
- แนวโน้มย่อย (Minor Trend) คือ แนวโน้มย่อยหรือแนวโน้มระยะสั้น ช่วงไม่กี่วัน-ไม่กี่สัปดาห์
🔻 คำแนะนำจากทีมงาน Traderbobo: ตลาด Forex มีความผันผวนสูงในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งอาจมาจากข่าวเศรษฐกิจ ทำให้เทรดเดอร์ต้องแยกแยะว่าเทรนด์ที่เห็นเป็น “แนวโน้มย่อย” หรือ “สัญญาณหลอก”
3. แต่ละแนวโน้มหลักจะถูกแบ่งออกเป็น 3 ช่วงเสมอ
แต่ละแนวโน้มที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นหรือแนวโน้มขาลง แต่ละแนวโน้มมักไม่ได้เกิดขึ้นแบบทันที แต่จะค่อย ๆ เกิดตามลำดับไปทีละขั้น ซึ่งแบ่งออกได้ 3 ระดับ ดังนี้
- ช่วงเก็บสะสม คือ ช่วงที่เทรดเดอร์ผู้มีประสบการณ์และเทรดเดอร์รายใหญ่ในตลาดเริ่มเข้าซื้อสินทรัพย์ในช่วงที่ตลาดยังไม่คึกคัก
- ช่วงที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เริ่มเข้าร่วม คือ ช่วงที่เทรดเดอร์จำนวนมากเริ่มสังเกตเห็นความเคลื่อนไหวของราคา และเข้าซื้อสินทรัพย์ ทำให้ราคาเริ่มเคลื่อนตัวแรงในช่วงนี้
- ช่วงแจกจ่ายหรือช่วงกระจาย คือ ช่วงที่นักลงทุนเริ่มเข้าเก็งกำไรกันอย่างหนัก จนทำให้ราคาพุ่งสูงขึ้นเกินระดับปกติ ก่อนแนวโน้มจะเกิดการกลับตัว และเทรดเดอร์รายใหญ่จะเริ่มขายสินทรัพย์ เพื่อทำกำไรในช่วงนี้
ซึ่งทฤษฎีในข้อนี้แหละครับ ถือเป็นพื้นฐานสำคัญของแนวคิด Order Block และ Accumulation/Distribution ของ Smart Money เลย เพราะแนวคิดเหล่านี้มักจะมองหาจุดที่มีการสะสมแรงซื้อและขาย ก่อนจะปล่อยแรงขับเคลื่อนใหญ่เข้าสู่ตลาด
4. ดัชนีที่มีความความสัมพันธ์กันควรยืนยันแนวโน้มกัน
วิธีสังเกตว่า แนวโน้มนั้นจะน่าเชื่อถือหรือไม่ตามทฤษฎีดาว คือ ดัชนีที่เกี่ยวข้องกันต้องสามารถยืนยันแนวโน้มกันเองได้ ซึ่งดัชนีที่นิยมนำมาใช้ในการยืนยันแนวโน้ม ได้แก่
- ดัชนี Dow Jones Transportation Average (DJTA) = ภาพรวมภาคขนส่ง
- ดัชนี Dow Jones Industrial Average (DJIA) = ภาพรวมภาคอุตสาหกรรม
ตัวอย่าง หากภาคการผลิตขยายตัวก็ต้องอาศัยภาคการขนส่ง เพื่อกระจายสินค้าออกสู่ตลาด ดังนั้น หากทั้งสองภาคส่วนยังไม่เคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกัน แสดงว่า แนวโน้มดังกล่าวยังไม่แข็งแรงนั่นเองครับ
🔻 ยกตัวอย่างในบริบทของตลาด Forex
ทฤษฎีข้อนี้ หากอยู่ในบริบทของตลาดฟอเร็กซ์ เทรดเดอร์สามารถสังเกตได้จากความสัมพันธ์ของคู่เงินครับ เช่น ทองคำกับดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (XAU/USD และ DXY)
- ถ้า XAU/USD พุ่ง แล้วดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนแรงลง → แนวโน้มที่เกิดขึ้นมักจะมีความน่าเชื่อถือ
- ถ้า XAU/USD พุ่ง แล้วค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า → แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจยังไม่น่าเชื่อถือ
*หมายเหตุ: ทังนี้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของสินทรัพย์นั้น ๆ บางคู่เงินยืนยันกันด้วยการเคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกัน แต่บางคู่เงินก็ยืนยันกันจากการเคลื่อนไหวในทิศทางที่สวนทาง
5. ปริมาณของการซื้อขาย (Volume) สามารถใช้ยืนยันแนวโน้มได้
ปริมาณของการซื้อขายมักสัมพันธ์กับแนวโน้มเสมอ หากเมื่อไหร่ที่ไม่สัมพันธ์กัน นั่นเท่ากับว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นอาจจะยังไม่น่าเชื่อถือครับ กล่าวคือ แนวโน้มที่แข็งแรงต้องมาพร้อมกับปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น ตามทิศทางของแนวโน้มนั้น
ความสัมพันธ์ระหว่าง Volume และแนวโน้ม
- แนวโน้มขาขึ้น → ราคาขึ้น + Volume เพิ่ม = แนวโน้มแข็งแรง
- แนวโน้มขาลง → ราคาลง + Volume เพิ่ม = แนวโน้มแข็งแรง
กรณีที่แนวโน้มกับ Volume ไม่สัมพันธ์กัน
หากราคาทำจุดสูงสุดใหม่ (Higher High) ต่อไปเรื่อย ๆ แต่ Volume กลับลดลง นั่นหมายความว่า แรงหนุนของแนวโน้มยังไม่แข็งแรง ทำให้แนวโน้มอาจเป็นแค่การเคลื่อนไหวชั่วคราว หรือมีโอกาสเป็น False Breakout
🔻ข้อควรระวัง ตลาด Forex ไม่มีข้อมูลปริมาณการซื้อขายที่แท้จริง เนื่องจากเป็นตลาดที่ไม่มีศูนย์กลางเหมือนตลาดหุ้น ดังนั้น หลักการที่อ้างอิงกับ Volume อาจไม่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพในตลาด Forex อย่างไรก็ดี ใช่ว่าจะไม่สามารถใช้ไม่ได้เลยซะทีเดียวนะครับ เพราะโบรกเกอร์ส่วนใหญ่มี Tick Volume ซึ่งสามารถใช้แทนในการยืนยันแนวโน้มได้เช่นกัน
6. แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณการเปลี่ยนเทรน
แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดสัญญาณที่ชัดเจนว่า แนวโน้มจะเกิดการกลับตัว ซึ่งพี่โบ้จะขออธิบายให้คุณเข้าใจง่าย ๆ ดังนี้
- หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น → ให้คิดว่าแนวโน้มจะยังคงขึ้นต่อไปเรื่อย ๆ
- หากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลง → ให้คิดว่าแนวโน้มจะยังลดลงต่อไปเรื่อย ๆ
สรุปคือ แนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปเรื่อย ๆ ในทิศทางของมันเอง จนกว่าจะมีสัญญาณชัดเจนว่า แนวโน้มกำลังเปลี่ยนทิศทาง เช่น การทำ Lower Low และ Lower High ในขาขึ้น หรือการที่ราคาทำจุด Higher High และ Higher Low ในขาลง
🔻ทีมงาน Traderbobo ขอแนะนำ: คุณสามารถสังเกตสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้มได้จากการศึกษาการดู Price Action
ปัจจุบันยังมีแนวคิดที่ได้รับการพัฒนาต่อยอดจากทฤษฎีดาวโดยตรง นั่นก็คือ Elliott Wave Theory ซึ่งถูกคิดค้นโดย Ralph Nelson Elliott โดยอาศัยพื้นฐานความเชื่อเดียวกับ Dow Theory ที่ว่าตลาดมักเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้ม
Elliott Wave คืออะไร?

ทฤษฎี Elliott Wave คือ แนวคิดเกี่ยวกับการแกว่งตัวของราคา โดยเชื่อว่าราคาที่เกิดขึ้น มักมาจากจิตวิทยาของนักลงทุนในตลาด และมักจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ ซึ่งการแกว่งตัวดังกล่าวจะถูกเรียกว่า “คลื่น”
ตัวอย่างการใช้ทฤษฎี Dow Theory ในการเทรด

จากรูปเป็นการใช้ Dow Theory ร่วมกับอินดิเคเตอร์ Moving Average โดยประเภทของ MA ที่จะถูกหยิบมาใช้ คือ Simple Moving Average เพื่อใช้ยืนยันแนวโน้ม โดยผมจะเลือกใช้ค่า SMA20 เนื่องจากสะท้อนค่าเฉลี่ยราคาในช่วงสั้นถึงกลางที่นักเทรดนิยมใช้กัน ซึ่งพี่โบ้จะขออธิบายการใช้งานร่วมกัน ดังนี้
จุดสังเกตแนวโน้ม
- จากจุดเริ่มต้น ราคาเคลื่อนไหวอยู่ใต้เส้น SMA20 และทำ Lower Low (LL1, LL2, LL3, LL4 และ LL5) รวมถึง Lower High ที่ไล่ระดับลงมาเรื่อย ๆ เช่นกัน
- การที่ราคาลดต่ำลงต่อเนื่องแบบนี้ คือ สัญญาณของขาลงตามทฤษฎีดาวที่บอกว่าแนวโน้มจะยังคงไปต่อเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีสัญญาณการกลับตัวปรากฏขึ้น
จุดสังเกตสัญญาณของการเปลี่ยนแปลง
- โดยทั่วไปแล้ว ตามแนวโน้มขาลง LL6 ควรทำจุดต่ำกว่า LL5 แต่จากภาพกลับไม่สามารถทำได้ จึงทำให้เกิด Swing Fail
- การที่ราคาไม่ทำ Low ใหม่ที่ต่ำกว่าเดิม เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าแรงขายเริ่มอ่อนลง และเป็นสัญญาณของการเปลี่ยนแนวโน้ม
จุดสังเกตการกลับตัว
- หลังจากเกิด Swing Fail ตลาดก็เริ่มทำ Higher Low และแรงซื้อเริ่มกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง
- ตรงนี้คือ สัญญาณตาม Dow Theory ที่ว่า แนวโน้มเก่าจะสิ้นสุดลงและแนวโน้มใหม่กำลังก่อตัวขึ้น ทำให้ในช่วงนี้ เทรดเดอร์อาจต้องเลี่ยงการเปิดออเดอร์ Sell และรอสังเกตสัญญาณการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้นครับ
🔻บทความที่เกี่ยวข้อง: ศึกษาการใช้งานอินดิเคเตอร์ Moving Average ได้ที่ Moving Average (MA) คืออะไร
สรุปเกี่ยวกับทฤษฎีดาว หรือ Dow Theory
แม้ทฤษฎีดาว (Dow Theory) จะถูกคิดค้นและใช้งานมากว่าร้อยปี ทำให้บางเทรดเดอร์อาจมองว่าล้าสมัยหรือไม่ตอบโจทย์ในยุคนี้ แต่แท้จริงแล้ว หลักการของทฤษฎียังคงทรงพลัง โดยเฉพาะในยุคที่ตลาดการเงินมีความผันผวนอย่างรวดเร็ว การผสมผสานแนวคิดดั้งเดิมนี้เข้ากับการวิเคราะห์ที่สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบัน จะยิ่งช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นทิศทางของตลาดได้อย่างเป็นระบบ มีกรอบการตัดสินใจที่ชัดเจน และเพิ่มประสิทธิภาพในการเทรดได้มากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับทฤษฎี Dow Theory
1. ทำไม Volume ถึงมีความสำคัญต่อทฤษฎี Dow Theory?
เหตุผลที่ Volume สำคัญต่อ Dow Theory ก็เพราะแรงซื้อและแรงขายเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนและเป็นตัวชี้วัดแนวโน้มในตลาดครับ
2. ถ้าสัญญาณจากราคาและปริมาณการซื้อขายขัดแย้งกัน ควรเชื่ออะไร?
ตามหลักของทฤษฎีดาว ราคาและปริมาณการซื้อขายควรไปในทิศทางเดียวกันครับ ดังนั้น เทรดเดอร์ควรรอสัญญาณจากตัวใดตัวหนึ่งก่อน เช่น สัญญาณจากราคา หรือสัญญาณจากปริมาณการซื้อขาย จึงทำการเข้าเทรดจะดีที่สุด
3. ตลาดกระทิงและตลาดหมี มีความหมายอย่างไรในทฤษฎี Dow Theory?
ในทฤษฎี Dow Theory คำว่าตลาดกระทิงเป็นตัวแทนของแนวโน้มขาขึ้น ส่วนตลาดหมีเป็นตัวแทนของแนวโน้มขาลงครับ
4. ทำไม Dow Theory จึงควรใช้ร่วมกับเครื่องมืออื่น?
Dow Theory ช่วยให้เทรดเดอร์มองเห็นเพียงภาพรวมขนาดใหญ่ในการเทรดเท่านั้นครับ ทำให้การนำเครื่องมืออื่นเข้ามาใช้ร่วมด้วย จะช่วยเพิ่มความละเอียดในการวิเคราะห์ให้เทรดเดอร์มากขึ้น
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้
พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page
















