ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 500 จุดในวันอังคาร (18 ม.ค.) หลังธนาคาร โกลแมนแซกส์ เปิดเผยว่ามีรายได้ต่ำลงในไตรมาส 4 ปีก่อน ซึ่งฉุดหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลงอย่างหนักขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ก็เพิ่มขึ้นเป็น 1.865% สูงสุดในรอบ 2 ปี ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี
Dow Jones -1.51%
S&P500 -1.84%
Nasdaq -2.60%
โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า กำไรในไตรมาส 4/2564 ร่วงลง 13% เมื่อเทียบรายปี แตะที่ระดับ 3.94 พันล้านดอลลาร์ หรือ 10.81 ดอลลาร์/หุ้น ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของ Refinitiv คาดว่าจะอยู่ที่ 11.76 ดอลลาร์/หุ้น โดยสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากค่าใช้จ่ายด้านการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้น 23% แตะที่ 7.27 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 6.77 พันล้านดอลลาร์
ขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังถูกกดดันอย่างหนักหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีพุ่งขึ้นแตะระดับ 1.87% ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 2 ปี อันเป็นผลมาจากกระแสคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.
ตลาดหุ้นยุโรปตลาดหุ้นยุโรปปิดที่ระดับต่ำสุดในรอบ 1 สัปดาห์ในวันอังคาร (18 ม.ค.) โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงมากที่สุด 2.2% หลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรประเภท 2 ปี ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 1% เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2563 โดยแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้นจะกระทบผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีในอนาคต
Stoxx Europe 600 -0.97%
CAC-40 -0.94%
DAX -1.01%
FTSE 100 -0.63%
ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดัน เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่างๆ, ความตึงเครียดทางการเมือง และราคาพลังงานที่พุ่งขึ้น
นักลงทุนยังจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 25-26 ม.ค. นี้ เพื่อรอดูความชัดเจนเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย หลังจากเจ้าหน้าที่เฟดหลายคนได้ออกมาส่งสัญญาณว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค.
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจในภูมิภาคที่น่าติดตามวันนี้ ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ม.ค. ของออสเตรเลียจากเวสต์แพค