ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันพฤหัสบดี (7 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการที่นักลงทุนช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงก่อนหน้านี้ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน
Dow Jones +0.25%
S&P500 +0.43%
Nasdaq +0.06
ในช่วงแรกนั้นดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงกว่า 200 จุด ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และการเจรจาสันติภาพระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยังคงไม่คืบหน้า ในขณะที่การสู้รบได้ย่างเข้าสู่เดือนที่ 2
นักลงทุนได้เข้าช้อนซื้อหุ้นในช่วงท้ายตลาด โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีซึ่งถูกเทขายอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา ทั้งนี้หุ้นเทสลา ดีดตัวขึ้น 1.1% หุ้นไมโครซอฟท์ บวก 0.62% หุ้นแอปเปิล เพิ่มขึ้น 0.18%
นอกจากนี้นักลงทุนยังเข้าซื้อหุ้นที่ปลอดภัยและสามารถต้านทานวัฎจักรทางเศรษฐกิจได้ดี (Defensive Stocks) เช่นหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ โดยหุ้นแอ๊บบอต ลาบอแรตอรีส พุ่งขึ้น 2.78% หุ้นเมอร์ค แอนด์ โค พุ่งขึ้น 2.14% หุ้นยูไนเต็ดเฮลธ์ ปรับตัวขึ้น 0.98% หุ้นโมเดอร์นา พุ่งขึ้น 2.83%
หุ้นไฟเซอร์ พุ่งขึ้น 4.33% หลังมีรายงานว่า ไฟเซอร์เตรียมซื้อกิจการบริษัท ReViral Ltd ซึ่งเป็นบริษัทเวชภัณฑ์ที่มุ่งเน้นการพัฒนายาต้านโรคติดเชื้อทางเดินหายใจ โดยคาดว่ามูลค่าการซื้อกิจการครั้งนี้อาจสูงถึง 525 ล้านดอลลาร์
หุ้นกลุ่มสินค้าผู้บริโภคได้รับแรงซื้อเช่นกัน โดยหุ้นพรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (P&G) พุ่งขึ้น 1.29% หุ้นไทสัน ฟู้ดส์ เพิ่มขึ้น 0.64% หุ้นคราฟท์ ไฮนซ์ บวก 0.67% หุ้นฟิลลิป มอร์ริส อินเตอร์เนชั่นแนล ปรับตัวขึ้น 0.66%
หุ้นเอชพี (HP) ทะยานขึ้น 14.77% ขานรับรายงานที่ว่า บริษัทเบิร์กเชียร์ แฮธาเวย์ ของนายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้เข้าซื้อหุ้นบริษัทเอชพีจำนวน 121 ล้านหุ้น คิดเป็นมูลค่าราว 4.2 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้นักลงทุนยังจับตารายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน โดยในสัปดาห์หน้าจะเป็นการรายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบเล็กน้อยในวันพฤหัสบดี (7 เม.ย.) ขณะที่ตลาดยังคงปรับตัวผันผวน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เปิดเผยรายงานการประชุมซึ่งบ่งชี้ถึงแผนการคุมเข้มนโยบายการเงิน และสงครามในยูเครนยังคงดำเนินต่อไป
Stoxx Europe 600 -0.21%
CAC-40 -0.57%
DAX -0.52%
FTSE 100 -0.47%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการคุมเข้มนโยบายการเงินของเฟด และการคว่ำบาตรครั้งใหม่ของสหรัฐฯ ต่อรัสเซีย ซึ่งทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อขายหุ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มน้ำมันนำตลาดปรับตัวลง โดยลดลง 1.6% และหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 1.0%
หุ้นเชลล์ร่วงลง 2.1% หลังเปิดเผยว่า จะลดมูลค่าทางบัญชีลงถึง 5 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสแรก อันเป็นผลจากการตัดสินใจถอนธุรกิจออกจากรัสเซีย ซึ่งสูงกว่าที่เปิดเผยก่อนหน้านี้
สวนทางกับหุ้นกลุ่มปลอดภัย ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นสวนทางตลาด อาทิ กลุ่มเฮลท์แคร์ พุ่งขึ้น 1.4% ขณะที่กลุ่มก่อสร้างและเคมีภัณฑ์ เพิ่มขึ้น 0.3% และ 0.4% ตามลำดับ
นอกจากนี้นักลงทุนยังวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยูโรโซน หลังผลสำรวจของรอยเตอร์คาดว่าเงินเฟ้อในยูโรโซนจะยังคงอยู่ที่ระดับสูงในช่วงที่เหลือของปีนี้
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกลดลง 5,000 ราย สู่ระดับ 166,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2511 และต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 200,000 ราย
นักลงทุนจับตาสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) มีมติถอดถอนรัสเซียออกจากการเป็นสมาชิกคณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแล้ว เพื่อตอบโต้ต่อการที่รัสเซียส่งกำลังทหารบุกโจมตียูเครน ซึ่งถือเป็น “การละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงและเป็นระบบ”