ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 800 จุดในวันอังคาร (26 เม.ย.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ดิ่งลงกว่า 500 จุดและปิดที่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2563 เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลว่า เศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน, การเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) และจีนใช้มาตรการล็อกดาวน์เพื่อสกัดการระบาดของโรคโควิด-19
Dow Jones -2.38%
S&P500 -2.81%
Nasdaq -3.95%
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น โดยความกังวลเหล่านี้รวมถึงสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งล่าสุดรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียเตือนว่า วิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครนอาจลุกลามกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นปัจจัยกดดันตลาดหุ้น โดยความกังวลเหล่านี้รวมถึงสงครามที่ยืดเยื้อระหว่างรัสเซียและยูเครน ซึ่งล่าสุดรัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซียเตือนว่า วิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครน อาจลุกลามกลายเป็นสงครามนิวเคลียร์
นอกจากนี้ นักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.5% ในการประชุมเดือน พ.ค. รวมทั้งผลกระทบจากการที่จีนยังคงล็อกดาวน์เมืองเซี่ยงไฮ้ซึ่งเป็นศูนย์กลางธุรกิจ และล่าสุดมีการปิดกั้นพื้นที่บางส่วนของกรุงปักกิ่ง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวทำให้มีการคาดการณ์ว่า จีนอาจจะล็อกดาวน์กรุงปักกิ่งในไม่ช้านี้
หุ้น 10 ใน 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย ร่วงลง 4.99% โดยหุ้นบาธ แอนด์ บอดี้ เวิร์คส์ ร่วงลง 2.2%, หุ้นราล์ฟ ลอเรน ดิ่งลง 3.82%, หุ้นไนกี้ ร่วงลง 5.8% เเละหุ้นคาปรี โฮลดิ้งส์ ร่วงลง 4.46%
ดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีดิ่งลง 3.71% ก่อนที่บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่อย่างไมโครซอฟท์และอัลฟาเบทจะเปิดเผยผลประกอบการหลังตลาดปิดทำการ ส่วนบริษัทแอปเปิล, แอมะซอน และเมตา แพลตฟอร์มส์ จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ โดยนักลงทุนกังวลว่า บริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้อาจมีผลประกอบการที่อ่อนแอลงเช่นเดียวกับเน็ตฟลิกซ์
ทั้งนี้ หุ้นไมโครซอฟท์ ร่วงลง 3.74%, หุ้นอัลฟาเบท ดิ่งลง 3.59%, หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส ร่วงลง 3.23%, หุ้นแอมะซอน ดิ่งลง 4.58%, หุ้นแอปเปิล ร่วงลง 3.73% เเละหุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 5.48%
หุ้นเทสลา ทรุดตัวลง 12.18% เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า นายอีลอน มัสก์ อาจต้องขายหุ้นบางส่วนที่ถืออยู่ในบริษัทเทสลา เพื่อนำเงินมาซื้อกิจการบริษัททวิตเตอร์มูลค่า 4.4 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเจเนอรัล อิเล็กทริก (จีอี) ดิ่งลง 10.34% หลังจากบริษัทคาดการณ์ว่า ผลประกอบการในปีงบการเงิน 2565 มีแนวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และการล็อกดาวน์เมืองสำคัญของจีนส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงหลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ดิ่งหลุดจากระดับ 2.8% เมื่อคืนนี้ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 2.94%, หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 2.85%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ดิ่งลง 2.25% เเละหุ้นเวลส์ ฟาร์กโก ร่วงลง 2.73%
สำหรับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่มีการเปิดเผยเมื่อคืนนี้ กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ รายงานว่า ยอดขายบ้านใหม่ดิ่งลง 8.6% สู่ระดับ 763,000 ยูนิตในเดือน มี.ค. และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 765,000 ยูนิต จากระดับ 835,000 ยูนิตในเดือน ก.พ. โดยยอดขายบ้านใหม่ได้รับผลกระทบจากราคาบ้านที่พุ่งขึ้น และการดีดตัวขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนอง
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงในวันอังคาร (26 เม.ย.) โดยติดลบเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน เนื่องจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวลงตามหุ้นกลุ่มเดียวกันของสหรัฐฯ ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทรายใหญ่ แต่ตลาดหุ้นลอนดอนปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดโดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์
Stoxx Europe 600 -0.90%
CAC-40 -0.54%
DAX -1.20%
FTSE 100 +0.08%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี ร่วงลง 2.3% แตะระดับต่ำสุดในรอบ 6 สัปดาห์ และกลุ่มธนาคาร ร่วง 2.3%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นในช่วงเช้า โดยได้แรงหนุนจากการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทต่าง ๆ เช่น ธนาคารยูบีเอส และบริษัทเมอส์กซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการเดินเรือ
แต่ตลาดถูกกดดันจากการที่ดัชนี Nasdaq ร่วงลงมากกว่า 2% โดยหุ้นอัลฟาเบทและหุ้นไมโครซอฟท์ร่วงลงมากกว่า 2% ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการหลังจากปิดตลาดหุ้นนิวยอร์ก
สำหรับหุ้นรายตัวที่ปรับตัวลง รวมถึงหุ้นเอชเอสบีซีซึ่ง ร่วงลง 5.5% หลังเตือนว่าการซื้อคืนหุ้นเพิ่มขึ้นนั้น อาจจะไม่เกิดขึ้นในปีนี้
ส่วนหุ้นธนาคารซานตานเดร์ของสเปน พุ่งขึ้น 6.2% หลังเปิดเผยผลกำไรรายไตรมาสที่ดีเกินคาด ขณะที่เครดิต สวิส, บาร์เคลยส์ และดอยซ์ แบงก์ จะเปิดเผยผลประกอบการในอีกไม่กี่วันนี้
บรรดานักลงทุนจะจับตาการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ในสัปดาห์หน้า รวมถึงความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยมาร์ตินส์ คาแซคส์ กรรมการ ECB เปิดเผยกับรอยเตอร์ว่า ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว ๆ นี้ และมีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ ทั้งนี้ ตลาดการเงินปรับตัวรับโอกาสที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.80% ภายในสิ้นปีนี้