ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 300 จุดในวันพฤหัสบดี (20 ม.ค.) โดยตลาดถูกกดดันจากการที่นักลงทุนส่งคำสั่งขายเข้ามาในช่วงท้าย อันเนื่องมาจากความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
Dow Jones -0.89%
S&P500 -1.10%
Nasdaq -1.30%
ในช่วงแรกนั้น ตลาดดีดตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากนักลงทุนเข้าช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงอย่างหนักในพุธ ซึ่งรวมถึงหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี แต่ตลาดร่วงลงในเวลาต่อมา เนื่องจากนักลงทุนได้ส่งคำสั่งขายเข้ามาในช่วงท้าย ท่ามกลางกระแสคาดการณ์ที่ว่า FED จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน มี.ค. เพื่อสกัดเงินเฟ้อ
ราคาหุ้น Peloton Interactive ที่ทรุดตัวลงเกือบ 24% หลังจากสำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า Peloton ระงับการผลิตอุปกรณ์ออกกำลังกายซึ่งรวมถึงเครื่องปั่นจักรยาน เนื่องจากดีมานด์ชะลอตัวลง ทั้งนี้ การร่วงลงอย่างหนักของหุ้น Peloton ส่งผลให้มูลค่าตลาดของบริษัทหายไปเป็นจำนวนมากถึง 2.5 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ยังได้รับปัจจัยลบจากข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอของสหรัฐ โดยกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยตัวเลขผู้ยื่นขอสวัสดิการว่างงานครั้งแรกพุ่งขึ้นสู่ระดับ 286,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนต.ค.2564 สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 225,000 ราย และสูงกว่าตัวเลขที่มีการรายงานในสัปดาห์ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 231,000 ราย
ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวกในวันพฤหัสบดี (20 ม.ค.) โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการที่นำตลาดปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลง และนักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์เงินเฟ้อ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
Stoxx Europe 600 +0.48%
CAC-40 +0.30%
DAX +0.65%
FTSE 100 -0.06%
หุ้นกลุ่มเดินทางและสันทนาการ พุ่งขึ้น 2.7% ขณะที่หุ้นกลุ่มรถยนต์ ร่วงลง 0.9% และหุ้นไรอันแอร์ พุ่งขึ้น 4.2%
นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรของเยอรมนีร่วงลงต่ำกว่าระดับ 0% ซึ่งหนุนหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภคและกลุ่มเทคโนโลยี ปรับตัวขึ้น 1.7% และ 1.5% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม บรรดานักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นและแนวโน้มการคุมเข้มนโยบายการเงินในปีนี้ แต่การเปิดเผยผลประกอบการในเชิงบวกและการปรับตัวขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ได้ช่วยหนุนตลาด