ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 500 จุด เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งความกังวลที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) อาจเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พุ่งสูงสุดในรอบเกือบ 40 ปี
Dow Jones -1.56%
S&P500 -1.57%
Nasdaq -1.54%
บรรยากาศการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากความกังวลเกี่ยวกับสงครามรัสเซีย-ยูเครน รวมทั้งการที่ชาติตะวันตกประกาศคว่ำบาตรรัสเซียกรณีใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน ซึ่งส่งผลให้รัสเซียใช้มาตรการตอบโต้ โดยล่าสุดประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ได้ลงนามในกฤษฎีกาซึ่งระบุว่า ต่างชาติที่ซื้อก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียจะต้องชำระเงินเป็นสกุลรูเบิลเท่านั้น โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. และสัญญาการซื้อก๊าซจะถูกระงับ หากผู้ซื้อไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว
นอกจากนี้ตลาดยังได้รับปัจจัยลบจากความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หลังจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) พื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน และเป็นมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดให้ความสำคัญ พุ่งขึ้น 5.4% ในเดือน ก.พ. เมื่อเทียบรายปี ซึ่งเป็นการปรับตัวขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย. 2526
หุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลงตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 2.99% หุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 1.64% หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 4.14% หุ้นเวลส์ ฟาร์กโก ดิ่งลง 3.29%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีร่วงลงเช่นกัน โดยหุ้นอัลฟาเบท ร่วงลง 2.02% หุ้นเน็ตฟลิกซ์ ร่วงลง 1.8% หุ้นแอปเปิล ลดลง 1.78% หุ้นไมโครซอฟท์ ลดลง 1.77% หุ้นเมตา แพลตฟอร์มส์ ร่วงลง 2.41%
หุ้นผู้ผลิตเซมิคอนดักเตอร์ปรับตัวลง ท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะชะลอตัวของตลาดพีซี โดยหุ้นแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี) ร่วงลง 8.29% หลังจากธนาคารบาร์เคลย์สปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นเอเอ็มดีลงสู่ระดับ Equal Weight จากระดับ Overweight ขณะที่หุ้นเอชพี ร่วงลง 6.54% และหุ้นเดลล์ ดิ่งลง 7.60% หลังจากมอร์แกน สแตนลีย์ได้ปรับลดน้ำหนักความน่าลงทุนของหุ้นทั้งสองบริษัทลงสู่ระดับ Equal Weight จากระดับ Overweight
หุ้นกลุ่มพลังงานร่วงลงหลังจากราคาน้ำมัน WTI ดิ่งลง 7% อันเนื่องมาจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐฯ ประกาศระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองเพื่อสกัดการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมัน ทั้งนี้ หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ ร่วงลง 1.09% หุ้นเอ็กซอน โมบิล ดิ่งลง 1.42% หุ้นฮัลลิเบอร์ตัน ร่วงลง 1.69% หุ้นเชฟรอน ร่วงลง 1.60%
หุ้นวอลกรีนส์ บู้ทส์ อัลลิอันซ์ ซึ่งเป็นเครือข่ายร้านขายยาขนาดใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 5.67% แม้บริษัทเปิดเผยกำไรต่อหุ้นที่ระดับ 1.59 ดอลลาร์ในช่วงเดือนธ.ค.-ก.พ. ซึ่งเป็นไตรมาส 2 ตามปีงบการเงินของบริษัท ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.40 ดอลลาร์/หุ้น
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงในวันพฤหัสบดี (31 มี.ค.) และปรับตัวลงเป็นไตรมาสแรกในรอบ 8 ไตรมาส เนื่องจากตลาดถูกกดดันจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจจากผลกระทบของการที่รัสเซียบุกโจมตียูเครน
Stoxx Europe 600 -0.94%
CAC-40 -1.21%
DAX -1.31%
FTSE 100 -0.83%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลงตามแนวโน้มการลดความเสี่ยงทั่วโลก เนื่องจากความเชื่อมั่นของตลาดเกี่ยวกับการเจรจาสันติภาพได้จางหายไป หลังประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกีของยูเครนเปิดเผยว่า กองกำลังของเขากำลังเตรียมรับมือการโจมตีครั้งใหม่ของรัสเซียในภาคตะวันออกเฉียงใต้
ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินแห่งรัสเซีย เปิดเผยในวันพฤหัสบดีว่า เขาได้ลงนามในคำสั่งระบุให้ผู้ซื้อต่างชาติต้องจ่ายค่าก๊าซเป็นเงินรูเบิลตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. นี้ และจะยุติสัญญาหากไม่มีการจ่ายเงินเป็นรูเบิล ความเคลื่อนไหวของประธานาธิบดีปูตินทำให้ยุโรปเผชิญแนวโน้มที่จะขาดแคลนปริมาณก๊าซมากกว่า 1 ใน 3
แต่หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซ ปรับตัวลง 0.4% หลังราคาน้ำมันดิบลดลงจากข่าวที่ว่า สหรัฐฯ กำลังพิจารณาที่จะระบายน้ำมันออกจากคลังสำรองทางยุทธศาสตร์ ทำให้หุ้นโททาลเอ็นเนอร์จีส์และหุ้นบีพี ลดลง 2% เเละหุ้นกลุ่มค้าปลีกร่วง 5% หนักสุดในรอบกว่า 2 ปี นอกจากนั้นหุ้นเอชแอนด์เอ็ม (H&M) ของสวีเดนร่วง 12.9% หลังเปิดเผยว่า บริษัทจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาสินค้าในปีนี้และรายงานผลกำไรรายไตรมาสที่อ่อนแอท่ามกลางต้นทุนด้านวัตถุดิบและการขนส่งที่อยู่ในระดับสูง
นักลงทุนจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มี.ค. ของสหรัฐฯ ในวันนี้ ขณะที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวดาวโจนส์คาดการณ์ว่า ตัวเลขจ้างงานจะเพิ่มขึ้น 460,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค. ซึ่งน้อยกว่าในเดือน ก.พ. ที่พุ่งขึ้น 678,000 ตำแหน่ง และคาดว่าอัตราว่างงานเดือน มี.ค. จะลดลงสู่ระดับ 3.7%