การลงทุนแบบ VA คืออะไร ทำไมถึงคุ้มค่ากว่า DCA ?

Table of Contents
การลงทุนแบบ VA

ในยุคปัจจุบันคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่เราใช้แค่เงินเดือน (Active Income) นั้นคงไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่าย ทำให้หลายคนมองหารายได้จากทางอื่น (Passive Income) เข้ามาช่วยจุนเจือ และวิธีการที่นิยมมากที่สุด คือ การลงทุน หลายคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับการลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar Cost Average ก็ไปมากเแล้ว ซึ่งเป็นการทยอยการลงทุนเป็นงวดในจำนวนที่เท่ากัน โดยไม่สนใจราคาของสินทรัพย์นั้น ๆ แต่การลงทุนวิธีนี้ค่อนข้างเข้มงวดเรื่องจำนวนเงิน เนื่องจากต้องลงทุนในจำนวนที่เท่ากันทุกงวด ดังนั้น วันนี้พี่โบ้จึงมีการลงทุนอีกวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพมากกว่า DCA แต่มีความยืดหยุ่นในด้านของเงินลงทุนในแต่ละครั้งมากกว่า ซึ่งยังไม่เป็นที่พูดถึงกันมากนัก นั่นก็คือ การลงทุนแบบ VA หรือ Value Averaging

การลงทุนแบบ VA คืออะไร ?

การลงทุนแบบ VA (Value Averaging) เป็นการลงทุนที่มีวิธีการคล้ายคลึงกับ DCA แต่จะเน้นไปที่ผลลัพธ์เป็นหลัก โดยเราจะลงทุนสม่ำเสมอเป็นงวดเช่นเดิม เช่น ลงทุนรายเดือน รายไตรมาส หรือรายปี แต่จำนวนเงินที่จะใส่ในแต่ละงวดไม่เท่ากัน และจะให้ความสำคัญกับการควบคุมปริมาณการซื้อขายสินทรัพย์ เพื่อให้มูลค่าของพอร์ตเป็นไปตามเป้าหมาย ดังนั้น การลงทุนแบบ VA เราจะสามารถ “เพิ่ม” หรือ “ลด” จำนวนเงินทุนได้ตามมูลค่าพอร์ต หากช่วงไหนหุ้นขึ้นเราก็ปรับลดจำนวนทุนลง แต่หากช่วงไหนหุ้นลงเราก็ต้องเพิ่มเงินลงทุนนั่นเอง

หมายเหตุ* สินทรัพย์ในที่นี้อาจจะหมายถึง หุ้น คริปโตฯ ตราสารหนี้ โลหะมีค่า หรือสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเราสามารถนำ การลงทุนแบบ VA ไปปรับใช้ในสินทรัพย์ใดก็ได้ที่เราต้องารลงทุน

ตัวอย่างเช่น เราต้องการพอร์ตที่มีมูลค่า 30,000 บาท ภายใน 3 เดือน หากเป็นการลงทุนแบบ DCA เราก็จะต้องลงทุนเดือนละ 10,000 บาท แต่หากเป็นการลงทุนแบบ VA จะไม่คิดเช่นนั้นครับ

เป้าหมายเดือนที่ 1เดือนที่ 2เดือนที่ 3
เป้าหมายตั้งต้น10,00020,00030,000
มูลค่าในพอร์ต15,00013,000
เงินลงที่ต้องลงทุน10,0005,00017,000
ผลรวมมูลค่าพอร์ต
ตามเป้าหมาย
10,00020,00030,000

การลงทุนแบบ VA ในเดือนแรกเราจะลงทุนตามจำนวนที่กำหนดไว้ คือ 10,000 บาท และหากตอนนั้นหุ้นขึ้นจนทำให้มูลค่าพอร์ตของเราเท่ากับ 15,000 บาท ในเดือนถัดมาจำนวนเงินทุนที่เราต้องลงทุนเพิ่มจะอยู่ที่ 5,000 บาท ซึ่งมาจาก 15,000 (มูลค่าพอร์ต) – 10,000 (จำนวนเงินทุนที่เราคิดไว้ในแต่ละเดือน) ในทางกลับกัน หากเดือนที่ 3 หุ้นราคาลงจนทำให้มูลค่าพอร์ตเหลือแค่ 13,000 เราก็ต้องลงทุนเพิ่มเป็น 17,000 บาท

ความแตกต่างระหว่าง DCA และ VA

ตารางเปรียบเทียบลักษณะการลงทุน

การลงทุนลงทุนเป็นงวดจำนวนเงินลงทุน
ในแต่ละงวด
ควบคุมปริมาณ
ซื้อขายสินทรัพย์
ดูมูลค่าพอร์ต
DCAเท่ากัน
VAไม่เท่ากัน

การลงทุนแบบ DCA

  • ลงทุนเป็นงวด
  • ลงทุนเท่ากันทุกงวด
  • ไม่ควบคุมปริมาณซื้อขายสินทรัพย์
  • ไม่สนใจมูลค่าในพอร์ต
  • ไม่ต้องติดตามพอร์ตมากนัก

การลงทุนแบบ VA

  • ลงทุนเป็นงวด
  • ลงทุนไม่เท่ากันทุกงวด เนื่องจากต้องดูมูลค่าพอร์ตและราคาสินทรัพย์ร่วมด้วย
  • ควบคุมปริมาณซื้อขายสินทรัพย์
  • สนใจมูลค่าในพอร์ต
  • ต้องติดตามพอร์ตสม่ำเสมอ

การลงทุนแบบ VA ดีกว่า DCA อย่างไร ?

คำตอบ: การลงทุนแบบ VA จะมีข้อได้เปรียบในแง่ของจำนวนสินทรัพย์

เช่น ในการลงทุนทั้ง DCA และ VA เมื่อราคาหุ้นลดลงจะทำให้เราได้จำนวนหุ้นเพิ่มขึ้นจากการลงทุนในแต่ละครั้ง แต่การลงทุนแบบ VA จะได้จำนวนหุ้นมากกว่า เพราะมีการเพิ่มเงินลงทุนไปด้วย ในทางกลับกันเมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น การลงทุนแบบ VA จะลดจำนวนเงินลงทุนที่ซื้อลง หรือพูดง่าย ๆ ว่า เมื่อราคาของแพงขึ้น เราก็จะซื้อน้อยลง ส่งผลให้การลงทุนของเรามีประสิทธิภาพมากกว่าครับ

ข้อดีและข้อเสียของ “การลงทุนแบบ VA

ข้อดีของการลงทุนแบบ VA

  • สามารถยืดหยุ่นจำนวนเงินลงทุนได้
  • ช่วงไหนที่ราคาสินทรัพย์ขึ้น เราจะใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่า DCA
  • ได้เปรียบในแง่จำนวนสินทรัพย์

ข้อเสียของการลงทุนแบบ VA

  • ต้องมีวินัยมากกว่า DCA
  • ต้องติดตามพอร์ตอยู่เสมอ
  • ต้องมีเงินในสำรองในช่วงราคาสินทรัพย์ลง
  • ไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ไม่มีเวลา

———————————— 🐶 ————————————

อย่างไรก็ตาม การลงทุนทั้ง 2 แบบนั้น ไม่เหมาะกับการเก็งกำไรระยะสั้น เนื่องจากต้องใช้เวลา และอาศัยการวิเคราะห์หุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีพื้นฐานค่อนข้างดี แต่การลงทุนเช่นนี้ถือเป็นการกระจายความเสี่ยงที่ดีอย่างหนึ่งของนักลงทุน ดังนั้น เราสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนโดยแยกเป็น 2 วิธีได้ การทำเช่นนี้จะมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่มากกว่า

อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่: สาระน่ารู้

อ่านข่าวเพิ่มเติมได้ที่: ข่าวน่ารู้

อ่านรีวิวโบรกเกอร์เพิ่มเติมได้ที่Review Broker

Social Share
Facebook
Twitter