Trend Following กลยุทธ์ว่ายตามกระแสน้ำ ทำกำไรได้จริงไหม?

Table of Contents
กลยุทธ์ Trend Following คืออะไร

Trend Following กลยุทธ์ที่เทรดเดอร์ทั่วโลกให้ความสนใจ ด้วยหลักการที่ง่าย เพียงเทรดตามแนวโน้มของตลาดหรือเรียกอีกอย่างว่า “การว่ายตามกระแสน้ำ” หรือการไม่สวนกระแสตลาดนั่นเองครับ เมื่ออ่านแบบนี้แล้วอาจจะดูเหมือนง่าย แต่รู้ไหมครับว่า Trend Following ก็มีความเสี่ยงที่คุณต้องเผชิญเช่นกัน บทความนี้พี่โบ้จึงได้รวบรวมสิ่งที่คุณต้องรู้ก่อนเลือกเทรดแบบ Trend Following มาไว้ให้อ่านแล้ว หากพร้อมแล้วไปอ่านกันครับ!

*หมายเหตุ: การลงทุนทุกประเภทมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและความเสี่ยงอย่างรอบคอบ ทั้งนี้ บทความนี้เป็นเพียงการให้ความรู้เท่านั้น ไม่ได้เป็นการชี้ชวนให้ลงทุนแต่อย่างใด

………………….🐶………………….

Trend Following Strategy หรือ Trend Following คือ การเทรดผ่านการติดตามแนวโน้มเพื่อทำกำไร โดยเทรดเดอร์ที่เทรดแบบ Trend Following มักจะอาศัยแนวโน้มในการเข้าเทรด กล่าวคือ การติดตามเทรนและหาจังหวะเข้าเทรดที่เหมาะสมโดยอิงตามเทรนของตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ๆ ครับ โดยคอนเซปต์ง่าย ๆ ของการเทรดแบบ Trend Following มีดังนี้

  • เทรดเดอร์จะเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy) เพื่อทำกำไรเมื่อแนวโน้มอยู่ในขาขึ้น
  • เปิดออเดอร์ขาย (Sell) เพื่อทำกำไรเมื่อแนวโน้มกลับตัวสู่ขาลง
  • เทรดเดอร์ติดตามแนวโน้มต่อไปเมื่อแนวโน้มอยู่ในแนวราบ (Sideway) เพื่อยืนยันจุดเหมาะสมสำหรับการเข้าเทรดครับ

แนวโน้ม (Trend) คือ

ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวโน้ม หรือ Trend กันก่อนครับ โดยทั่วไปแนวโน้มจะมีอยู่ 3 ประเภท ได้แก่

  1. แนวโน้มขาลง (Downtrend)
  2. แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) 
  3. แนวโน้มด้านข้าง (Sideway) 

โดยแนวโน้มที่กล่าวมา จะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา สิ่งที่คุณทำได้ก็ คือ มองภาพรวมตลาด รอเวลา และหาจังหวะที่ดี ซึ่งแต่ละแนวโน้มก็จะมีรูปแบบและจุดสังเกตต่างกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยากครับพี่โบ้จะอธิบายให้คุณฟังในหัวข้อถัด ๆ ไปครับ

แนวโน้มขาลง (Downtrend) คืออะไร

แนวโน้มขาลง (Downtrend) คือ ช่วงที่ราคากำลังปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง บ่งบอกถึงการเทขายสินทรัพย์จากนักลงทุนและมูลค่าในตลาดของแนวโน้มช่วงนี้จะลดลงอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยแนวโน้มขาลงจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

แนวโน้มขาลงหลัก

  • แนวโน้มขาลงหลัก คือ แนวโน้มระยะยาว มักใช้เวลาหลายเดือนถึงหลายปี
  • มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ (Lower Highs และ Lower Lows)

แนวโน้มขาลงรอง

  • แนวโน้มขาลงรอง คือ แนวโน้มขนาดกลาง
  • มักใช้เวลาหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน
  • มักเป็นการดีดตัวของราคาชั่วคราวในช่วงแนวโน้มขาลงหลัก

แนวโน้มขาลงเล็ก

  • แนวโน้มขาลงเล็ก คือ แนวโน้มระยะสั้น มักใช้เวลาไม่กี่วันถึงสัปดาห์
  • เป็นการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มที่มีระยะที่ยาวกว่า

แนวโน้มขาขึ้นหรือเทรนขาขึ้น (Uptrend)

แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) คืออะไร

แนวโน้มขาขึ้น (Uptrend) คือ ช่วงที่ราคากำลังปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงการเพิ่มขึ้นของแรงซื้อและมูลค่าในตลาดที่เพิ่มขึ้น โดยแนวโน้มขาขึ้นจะแบ่งออกเป็น 3 รูปแบบ ดังนี้

แนวโน้มขาขึ้นหลัก

  • แนวโน้มขาขึ้นหลัก คือ แนวโน้มระยะยาว มักใช้เวลาเป็นเดือนจนถึงหลายปี
  • มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ (Higher Highs และ Higher Lows)

แนวโน้มขาขึ้นรอง

  • แนวโน้มขาขึ้นรอง คือ แนวโน้มขนาดกลาง มักใช้เวลาหลายสัปดาห์ไปจนถึงหลายเดือน
  • มีจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่ความชันจะน้อยกว่าแนวโน้มหลัก

แนวโน้มขาขึ้นเล็ก

  • การเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับแนวโน้มระยะที่ยาวกว่า (สังเกตจากแนวโน้มขาขึ้นรอง)
  • แนวโน้มขาขึ้นเล็ก คือ แนวโน้มระยะสั้น มักใช้เวลาไม่กี่วันไปจนถึงสัปดาห์

แนวโน้มราบหรือเทรนแนวราบ (Sideway)

แนวโน้มราบ (Sideway) คืออะไร

แนวโน้มราบหรือเทรนแนวราบ (Sideway) คือ แนวโน้มที่บ่งบอกว่า แรงซื้อและแรงขายมีขนาดเท่ากัน โดยลักษณะการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดจะไม่มีทิศทางชัดเจนว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลงและจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ๆ ระหว่างแนวรับและแนวต้าน โดยแนวโน้มราบจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

Sideway Up

  • Sideway Up คือ รูปแบบตลาดที่มีการเคลื่อนไหวและแกว่งตัวในกรอบที่จำกัด แต่มีทิศทางเอียงขึ้นเล็กน้อย 
  • จุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวราคาในแต่ละรอบของการแกว่งตัวมักสูงกว่าจุดต่ำสุดก่อนหน้าและจุดสูงสุดอาจอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหรือสูงขึ้นจากเดิมเล็กน้อย

Sideway Down 

  • Sideway Down คือ รูปแบบตลาดที่มีการเคลื่อนไหวและแกว่งตัวในกรอบที่จำกัด โดยมีทิศทางโน้มเอียงลงเล็กน้อย
  • จุดต่ำสุดของการเคลื่อนไหวราคาในแต่ละรอบของการแกว่งตัวมักต่ำกว่าจุดสูงสุดก่อนหน้าและจุดต่ำสุดอาจอยู่ในระดับใกล้เคียงกันหรือต่ำลงกว่าระดับก่อนหน้าเล็กน้อย

………………….🐶………………….

ตัวอย่างการเทรดตามแนวโน้ม Trend Following

การเทรด Trend Following ตามแนวโน้มขาลงมีแนวคิดหลัก คือ การเปิดออเดอร์ขาย (Sell) ตามทิศทางแนวโน้มหลักที่กำลังปรับตัวลง โดยเริ่มจากการยืนยันว่า ตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลงจริงหรือไม่ โดยดูจากจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ (Lower Highs) และจุดต่ำสุดที่ต่ำลงเรื่อย ๆ (Lower Lows)

ในส่วนของการเทรดตามแนวโน้มขาขึ้นก็มีหลักการคล้าย ๆ กันครับ เพียงแต่คุณจะต้องเปิดออเดอร์ซื้อ (Buy) ตามทิศทางตลาดที่กำลังปรับขึ้นเท่านั้นและจุดสังเกตจะมาจากจุดสูงสุด (Higher Highs) และจุดต่ำสุดของกราฟที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง (Higher Lows)

เมื่อคุณเข้าใจวิธีเทรดทั้งแนวโน้มขาขึ้นและขาลงแล้ว พี่โบ้ขอแนะนำเทคนิคการออกจากตลาดแบบแยบยลที่สุด คือ “ต้องตัดขาดทุนเร็วและปล่อยกำไรให้วิ่งนาน” โดยสามารถทำได้ผ่านการตั้ง Stop Loss ให้สอดคล้องกับทิศทางการเทรดของเรา และใช้ Trailing Stop เพื่อล็อกกำไรขณะที่ราคาเคลื่อนไหวไปตามแนวโน้มครับ

📢 Trailing Stop คือ ฟังก์ชันป้องกันความเสี่ยงที่มีความคล้ายคลึงกับ Stop Loss แต่ Trailing Stop จะสามารถล็อกและขยับจุดตัดขาดทุนไปเรื่อย ๆ โดยอัตโนมัติตามการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่เป็นประโยชน์ต่อเทรดเดอร์ ซึ่งโดยทั่วไปฟังก์ชันนี้จะมีอยู่ในแพลตฟอร์มการเทรด MT4 และ MT5 ครับ

พี่โบ้ได้รวบรวมสุดยอด 3 เครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิค สำหรับการเทรดแบบ Trend Following มาไว้ให้ทุกคนได้อ่านแล้วในหัวข้อนี้ โดย 3 อินดิเคเตอร์ที่เทรดเดอร์นิยมใช้ในการเทรดแบบ Trend Following มีดังนี้

  1. Moving Average (MA)
  2. Relative Strength Index (RSI)
  3. Moving Average Convergence Divergence (MACD)

การใช้ Moving Average (MA) วิเคราะห์แนวโน้ม

การใช้ MA วิเคราะห์แนวโน้ม

จากภาพเป็นการระบุจุดเข้า Buy และ Sell โดยการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค Moving Average (MA) ร่วมกับกลยุทธ์การเทรดแบบ Trend Following ครับ ซึ่งพี่โบ้จะขอสรุปและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน ดังนี้

จุดเข้า Buy

  • ตำแหน่งเข้า Buy: เกิดขึ้นเมื่อเส้น SMA 5 (เส้นสีดำ) ตัดขึ้นเหนือเส้น SMA 20 (เส้นสีน้ำเงิน) ซึ่งแสดงถึงราคาที่เริ่มปรับตัวขึ้น และการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเป็นขาขึ้นด้วยเช่นกัน โดยการตัดกันแบบนี้เรามักจะเรียกว่า “Golden Cross” หรือเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มขาขึ้นที่อาจเริ่มต้นขึ้น และเป็นจุดที่น่าสนใจในการพิจารณาเข้าซื้อครับ

จุดเข้า Sell

  • ตำแหน่งเข้า Sell: เกิดขึ้นเมื่อเส้น SMA 5 (เส้นสีดำ) ตัดลงต่ำกว่าเส้น SMA 20 (เส้นสีน้ำเงิน) ซึ่งแสดงถึงราคาที่เริ่มปรับตัวลง และการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มเป็นขาลง โดยการตัดกันของเส้นแบบนี้จะถูกเรียกว่า “Death Cross”

จุดสังเกตเพิ่มเติม

1. ตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการเข้า Buy และ Sell

  • จุดเข้า Buy และ Sell ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเมื่อมีการตัดกันของเส้น MA หรือเมื่อราคาทดสอบเส้น MA ที่ทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้าน แล้วเกิดการเด้งตัวกลับในทิศทางของแนวโน้มหลัก

2. ระยะห่างระหว่างเส้น MA

  • ยิ่งเส้น SMA 5 และ SMA 20 ห่างกันมากเท่าไหร่ แสดงว่าแนวโน้มยิ่งมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น

3. ความชันของเส้น MA

  • ถ้าเส้น SMA 5 และ SMA 20 มีความชันมากและไปในทิศทางเดียวกัน มักบ่งบอกถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง โดยความชันมากในทิศทางขาขึ้นจะแสดงถึงกำลังซื้อที่แข็งแกร่งและถ้าความชันมีมากในทิศทางขาลงก็จะแสดงถึงกำลังขายที่มีความแข็งแกร่งเช่นกันครับ หรืออาจบ่งบอกได้ว่า มีโอกาสสูงที่ราคาจะเคลื่อนต่อไปในทิศทางนั้น ๆ อย่างมีนัยสำคัญนั่นเอง

การใช้ Relative Strength Index (RSI) วิเคราะห์แนวโน้ม

การใช้ RSI วิเคราะห์แนวโน้ม

จากภาพเป็นการหาจุดเข้าเทรด โดยใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค Relative Strength Index (RSI) ซึ่งจะระบุจุดเข้า Buy และ Sell จากพื้นที่ Overbought และ Oversold ตามหลักกลยุทธ์ Trend Following โดยพี่โบ้จะขออธิบาย ดังนี้

จุดเข้า Buy

  • ตำแหน่งเข้า Buy ในพื้นที่ Oversold: เกิดขึ้นเมื่อ RSI เคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ Oversold (ค่า RSI ต่ำกว่า 30) และเริ่มกลับตัวขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจุดที่ราคากำลังเริ่มฟื้นตัวหลังจากราคาเคลื่อนลงต่ำเกินไป

จุดเข้า Sell

  • ตำแหน่งเข้า Sell ในพื้นที่ Overbought: เกิดขึ้นเมื่อ RSI เคลื่อนที่เข้าสู่พื้นที่ Overbought (ค่า RSI สูงกว่า 70) และเริ่มกลับตัวลง ซึ่งบ่งชี้ว่าราคาพุ่งขึ้นสูงเกินจริงและมีโอกาสที่แนวโน้มจะปรับตัวลงในเวลาถัดมา

จุดสังเกตเพิ่มเติม

1. ความสอดคล้องระหว่างอินดิเคเตอร์ RSI และราคา

  • ทุกจุด Buy และ Sell มีความสอดคล้องกันระหว่างสัญญาณ RSI และการเคลื่อนไหวของราคา เช่น RSI Overbought จะตามมาด้วยการลดลงของราคา และ RSI Oversold มักจะตามมาด้วยการฟื้นตัวของราคา

2. จังหวะการเข้าเทรด

  • การหาจังหวะเข้าเทรดที่มีประสิทธิภาพ ควรรอให้ RSI เริ่มกลับตัวออกจากโซน Overbought หรือ Oversold ก่อนตัดสินใจเข้าเทรด และไม่ควรเข้าเทรดทันทีที่ RSI เพียงแค่เคลื่อนที่เข้าสู่โซนดังกล่าว โดยวิธีการนี้ถือเป็นการรอยืนยันสัญญาณที่ชัดเจนก่อนเข้าเทรด ซึ่งจะช่วยเพิ่มความแม่นยำและลดความเสี่ยงในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ

การใช้ MACD วิเคราะห์แนวโน้ม

จากภาพเป็นการใช้เครื่องมือทางเทคนิคอย่าง Moving Average Convergence Divergence (MACD) ในการวิเคราะห์หาจุดเข้า Buy และ Sell ตามแนวโน้ม ซึ่งพี่โบ้จะขอสรุปและอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งาน ดังนี้

จุดเข้า Buy

  1. ตำแหน่งเข้า Buy: สังเกตจาก Histogram ที่เริ่มเปลี่ยนจากสีแดงเป็นสีเขียวและเส้น MACD (สีน้ำเงิน) ตัดขึ้นเหนือเส้น Signal (สีเหลือง) ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของทั้งสองอย่างนี้แสดงถึงแนวโน้มขาขึ้นอย่างชัดเจน โดยถือเป็นสัญญาณที่เหมาะแก่การเข้าซื้อ เพื่อทำกำไรจากแนวโน้มดังกล่าวที่กำลังจะเกิดขึ้น

จุดเข้า Sell

  1. ตำแหน่งเข้า Sell: สังเกตจาก Histogram ที่เริ่มเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดงและเส้น MACD (สีน้ำเงิน) ตัดลงต่ำกว่าเส้น Signal (สีเหลือง) ซึ่งแสดงถึงแนวโน้มของตลาดที่กำลังจะเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง ถือเป็นสัญญาณที่เหมาะสำหรับการเข้าขาย

จุดสังเกตเพิ่มเติม

1. ขนาดของ Histogram 

  • ขนาดของ Histogram จะเป็นตัวบ่งชี้ความเข้มแข็งของแนวโน้มในตลาด โดยเมื่อ Histogram มีค่าสูงมากหรือต่ำมาก มักแสดงถึงแรงซื้อหรือแรงขายที่มีความรุนแรง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและมีความผันผวนสูง

2. การกรองสัญญาณหลอก

  • ช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวในกรอบแคบ (Sideway) MACD อาจเกิดสัญญาณหลอกได้บ่อย เทรดเดอร์ควรรอให้เกิดการตัดกันของเส้น MACD และ Signal อย่างชัดเจนก่อนและควรวิเคราะห์ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวรับแนวต้าน หรือ Price Action เพื่อเพิ่มความแม่นยำที่มากขึ้น

3. การปรับค่า MACD

  • จากภาพจะเป็นการใช้ค่ามาตรฐาน (12, 26 และ 9) ซึ่งจะเหมาะสำหรับการเทรดบน Time Frame ที่แสดงในกราฟ แต่ค่าเหล่านี้ เทรดเดอร์สามารถปรับเปลี่ยนให้เข้ากับสไตล์การเทรดและ Time Frame ที่ตนเองต้องการและถนัดได้ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งตามพี่โบ้ครับ

4. การยืนยันแนวโน้ม

  • ยิ่ง Histogram มีแท่งสีเขียวที่เพิ่มขึ้นมากเท่าไหร่ แสดงว่า แนวโน้มขาขึ้นนั้นมีกำลังซื้อหนุนอยู่ ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีในการถือต่อเพื่อทำกำไร
  • ยิ่ง Histogram มีแท่งสีแดงที่ลึกลงมากเท่าไหร่ ยิ่งบ่งชี้ถึงแรงขายที่เพิ่มขึ้นและแสดงถึงราคาที่จะมีแนวโน้มปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องครับ

แม้การเทรดแบบ Trend Following จะมีข้อดีอยู่มาก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ครับว่า ความเสี่ยงนั้นมักเป็นของคู่กันเมื่อคุณยังอยู่ในตลาด Forex ดังนั้น ความเสี่ยงที่คุณต้องเจอหากเทรดแบบ Trend Following มีดังนี้

1. ความเสี่ยงที่มาจากสัญญาณหลอก

การเทรดแบบ Trend Following มักเจอสัญญาณหลอกบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในช่วงตลาด Sideway

2. การไม่ใช้ Stop Loss หรือ Take Profit

การไม่ใช้ Stop Loss หรือ Take Profit อาจทำให้เทรดเดอร์ขาดทุนหนักหรือพลาดโอกาสทำกำไรไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางอย่างกะทันหัน

3. การกำหนด Position Size ที่ผิดพลาด

เทรดเดอร์หลายคนพลาดจากการวาง Position Size ที่ใหญ่เกินไปหรือใช้เลเวอเรจในอัตราที่สูง ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนหนัก เมื่อเจอสัญญาณหลอกหรือเมื่อแนวโน้มเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็วครับ

4. การใช้อารมณ์เข้าแทรกมากเกินไป

เทรดเดอร์มักจะถอดใจและเลิกทำตามแผนของตนเอง เมื่อเจอสัญญาณหลอกหรือขาดทุนติดต่อกันบ่อยครั้ง ซึ่งอาจทำให้คุณพลาดโอกาสทำกำไรเมื่อแนวโน้มที่คุณคาดการณ์นั้นเกิดขึ้นจริง

5. ขาดการปรับตัวให้เข้ากับตลาด

ตลาด Forex มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น เทรดเดอร์ที่ติดตามการเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างใกล้ชิดมักจะได้เปรียบกว่าเทรดเดอร์ที่ไม่ติดตามตลาดและไม่ปรับแผนการลงทุนให้สอดคล้องกับตลาดเลย

การบริหารความเสี่ยงถือเป็นหัวใจสำคัญของการเทรดแบบ Trend Following ครับ เพราะทิศทางของตลาดมักไม่ชัดเจนและไม่แน่นอน คุณจึงไม่ควรมองข้ามการบริหารความเสี่ยง โดยคุณสามารถทำตามได้ดังนี้

  1. ป้องกันสัญญาณหลอกด้วยการใช้อินดิเคเตอร์เพื่อยืนยันสัญญาณ และเลือกใช้ Time Frame ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น เพื่อลดการเกิดสัญญาณดังกล่าว
  2. ใช้คำสั่ง Stop Loss และ Trailing Stop เพื่อป้องกันการสูญเสียต้นทุนจำนวนมากและล็อกกำไร
  3. ควรจำกัดความเสี่ยงในการออกออเดอร์ต่อครั้งไม่เกิน 1-2% ของพอร์ต
  4. จัดการอารมณ์ของตนเองให้ดีและหมั่นฝึกฝนการเทรดและทดสอบประสิทธิภาพการลงทุนของตนเองอยู่เสมอ
  5. หมั่นติดตามข่าวสารเศรษฐกิจที่มีผลต่อตลาดและปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสภาวะตลาดในปัจจุบัน

📢 Traderbobo แนะนำ

กลยุทธ์การเทรดที่พี่โบ้คัดมาให้แล้ว “6 กลยุทธ์การเทรด Forex ที่ดีที่สุด” ที่อาจจะเปลี่ยนเส้นทางการลงทุนของคุณ เรียนรู้เทคนิคแบบมืออาชีพที่จะทำให้คุณเทรดได้ชัดเจน มั่นใจ แล้วกลยุทธ์แบบไหนที่จะเหมาะกับคุณ คลิกอ่านเลยที่นี่ 👇🚀

การเทรดแบบ Trend Following คือ การเทรดโดยไหลไปตามแนวโน้มของตลาด จำง่าย ๆ ครับว่า หลักการสำคัญของ Trend Following คือ เปิดออเดอร์ Buy ในช่วงที่แนวโน้มเป็นขาขึ้น และ Sell ในช่วงที่แนวโน้มเป็นขาลง อย่างไรก็ดี ด้วยความที่ตลาด Forex เป็นตลาดที่มีความผันผวนสูงมาก การระบุแนวโน้มหรือคาดการณ์แนวโน้มที่ชัดเจนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายแบบที่เราคิดกัน

ดังนั้น เทรดเดอร์จึงต้องหมั่นศึกษาข้อมูลรวมถึงวางแผนการเทรดที่ครอบคลุมและเหมาะสมควบคู่ไปกับการบริหารความเสี่ยง เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรและลดความเสี่ยงในการขาดทุนครับ

“จำไว้นะครับว่า การเทรดแบบ Trend Following คือ การโฟกัสกำไรขนาดใหญ่ ซึ่งทำให้บางครั้งคุณอาจต้องมองข้ามการขาดทุนเล็ก ๆ น้อย ๆ ไปบ้าง เพราะมันถือเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ แต่สิ่งที่คุณต้องทำคือจัดการมันให้ดีก็พอครับ”

………………….🐶………………….

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Trend Following

แนวโน้มหรือ Trend ในตลาดการเงินคืออะไร?

แนวโน้มหรือ Trend ในตลาดการเงิน คือ ทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์นั้น ๆ โดยสามารถเป็นได้ทั้งแนวโน้มขาขึ้นและแนวโน้มขาลงครับ

เทรดเดอร์จะระบุแนวโน้มได้จากอะไร?

เทรดเดอร์สามารถวิเคราะห์แนวโน้มได้จากการวิเคราะห์กราฟราคา เครื่องมือทางเทคนิคต่าง ๆ รวมถึงปริมาณการซื้อขายที่เกิดขึ้นในตลาดครับ

Trend Following เหมาะกับ Time Frame การเทรดแบบใด?

Trend Following เหมาะกับการเทรดโดยใช้ Time Frame ระยะยาวครับ เพราะการเทรดใน Time Frame ดังกล่าว มักมีความแข็งแกร่งและความต่อเนื่องมากกว่าแนวโน้มใน Time Frame ระยะสั้น ทำให้มีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าครับ


อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม: สาระน่ารู้

พูดคุยและติดตาม Real Time: Facebook Page

Social Share
Facebook
Twitter
Picture of Traderbobo
Traderbobo

นักลงทุนในตลาด Forex และสินทรัพย์ทางการเงินด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี มุ่งเน้นการนำเสนอเนื้อหาที่เข้าใจง่าย พร้อมแบ่งปันความรู้และกลยุทธ์การเทรด เพื่อช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในโลกการเงิน เหมาะสำหรับทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ

บทความน่าสนใจ
Adsense
Table of Contents
บทความน่าสนใจ
Adsense