Market Watch จับตาโลกวันนี้ : เมื่อวันอังคาร (2 ส.ค.) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และยุโรปปิดลบ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน และข้อมูลการผลิตที่อ่อนแอของทั่วโลก ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วงลงกว่า 400 จุดในวันอังคาร (2 ส.ค.) เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดด้านการเมืองระหว่างสหรัฐฯ และจีน หลังจากนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนไต้หวันและสร้างความไม่พอใจให้กับจีน
Dow Jones -1.23%
S&P500 -0.67%
Nasdaq -0.16%
ความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ร่วงลง โดยหุ้นทั้ง 11 กลุ่มที่คำนวณในดัชนี S&P500 ปิดในแดนลบ นำโดยดัชนีหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ร่วงลง 1.3% โดยหุ้นโจนส์ แลง ลาซาลล์ ดิ่งลง 2.56%, หุ้นอเมริกัน เรียลตี้ อินเวสเตอร์ส ลดลง 0.20% และหุ้นอาร์มาดา ฮอฟเฟอร์ พร็อพเพอร์ตีส์ ร่วงลง 1.20%
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารดิ่งลง 1.07% ซึ่งเป็นการปรับตัวลงต่อเนื่องจากวันจันทร์ โดยหุ้นเจพีมอร์แกน ร่วงลง 1.63%, หุ้นมอร์แกน สแตนลีย์ ปรับตัวลง 0.67%, หุ้นแบงก์ ออฟ อเมริกา ร่วงลง 2.02% และหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ร่วงลง 1.32%
หุ้นแคทเธอร์ พิลลาร์ ซึ่งบริษัทผลิตเครื่องมือก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ร่วงลง 5.86% หลังจากบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 อยู่ที่ระดับ 1.425 หมื่นล้านดอลลาร์ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.428 หมื่นล้านดอลลาร์
หุ้นเอสเต้ ลอเดอร์ ผู้ผลิตเครื่องสำอางรายใหญ่ของสหรัฐฯ ร่วงลง 1.85% หลังจากวอลล์สตรีท เจอร์นัลรายงานว่า เอสเต้ ลอเดอร์ กำลังเจรจาซื้อกิจการบริษัททอม ฟอร์ด (Tom Ford) ซึ่งเป็นแบรนด์แฟชั่นหรูระดับโลก โดยคาดว่าวงเงินการซื้อกิจการครั้งนี้จะสูงถึง 3 พันล้านดอลลาร์
ในส่วนของหุ้นกลุ่มผลิตอาวุธพุ่งขึ้น ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีน โดยนอร์ธรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) พุ่งขึ้น 1.04%, หุ้นล็อคฮีด มาร์ติน (Lockheed Martin) พุ่งขึ้น 2.27%, หุ้นเรย์เธียน เทคโนโลยีส์ (Raytheon Technologies) ดีดขึ้น 0.22%, หุ้นเจเนอรัล ไดนามิกส์ (General Dynamics) เพิ่มขึ้น 0.29% และหุ้นแอลทรีแฮร์ริส เทคโนโลยส์ (L3Harris Technologies) พุ่งขึ้น 1.23%
หุ้นอูเบอร์ เทคโนโลยีส์ ทะยานขึ้น 18.90% หลังบริษัทเปิดเผยรายได้ในไตรมาส 2 ที่ระดับ 8.07 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ที่ระดับ 7.39 พันล้านดอลลาร์
นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ในวันนี้ ซึ่งรวมถึงสตาร์บัคส์, เพย์พาล และแอดวานซ์ ไมโคร ดิไวซ์ (เอเอ็มดี)
นอกจากนี้ นักลงทุนยังรอดูตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร และอัตราว่างงานประจำเดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ เพื่อเป็นสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยครั้งต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED)
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงในวันอังคาร (2 ส.ค.) เนื่องจากข้อมูลการผลิตที่อ่อนแอทั่วโลก ทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย และนักลงทุนยังกังวลเกี่ยวกับความตึงเครียดระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในประเด็นไต้หวันด้วย
Stoxx Europe 600 -0.32%
CAC-40 -0.42%
DAX -0.23%
FTSE 100 -0.06%
ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวลง โดยถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง หลังจากการเปิดเผยข้อมูลกิจกรรมการผลิตที่น่าผิดหวังของยูโรโซน
นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสคาดการณ์ถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อสูงและเศรษฐกิจอ่อนแอ (stagflation) ในบรรดาประเทศสมาชิกของสหภาพยุโรป (EU)
หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ ร่วงลงมากที่สุด 1.4% หลังจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ร่วงลง เนื่องจากบรรดาเทรดเดอร์ได้พากันเข้าซื้อสินทรัพย์ที่ปลอดภัยกว่า
หุ้นกลุ่มเซมิคอนดักเตอร์ เช่น เอเอสเอ็มแอล โฮลดิง เอเอสเอ็ม อินเตอร์เนชันแนล และบีอี เซมิคอนดักเตอร์ ร่วงลงราว 1.2-2.2%
อย่างไรก็ตาม การเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนยังคงช่วยหนุนตลาด เช่น หุ้นบีพี ซึ่งเป็นบริษัทผลิตน้ำมันของอังกฤษ พุ่งขึ้น 2.8% หลังเปิดเผยผลกำไรเพิ่มขึ้นอย่างมาก