ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกในวันศุกร์ (1 เม.ย.) หลังการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานเดือน มี.ค. บ่งชี้ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แต่ก็ได้ตอกย้ำการคาดการณ์ที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) จะดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้นในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
Dow Jones +0.40%
S&P500 +0.34%
Nasdaq +0.29%
หุ้น 8 ใน 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเพิ่มขึ้น 2.02% ขณะที่หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมปรับตัวลงมากที่สุด 0.7% ขานรับกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เปิดเผยว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 431,000 ตำแหน่งในเดือน มี.ค. แม้ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 490,000 ตำแหน่ง ส่วนอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.6% ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 3.7%
บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 73.3% ที่เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 3-4 พ.ค. หลังจากที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือน มี.ค. โดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ได้ส่งสัญญาณเร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยระบุก่อนหน้านี้ว่า อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูงเกินไป ซึ่งหากจำเป็น เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% ในการประชุมหนึ่งครั้งหรือหลายครั้ง
นอกจากนี้ตลาดยังได้แรงหนุนจากการที่เอสแอนด์พี โกลบอลเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นสุดท้ายของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.8 ในเดือน มี.ค. ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ส.ค. 2564 และสูงกว่าตัวเลขเบื้องต้นที่ระดับ 58.5 จากระดับ 57.3 ในเดือน ก.พ. โดยดัชนี PMI ที่อยู่เหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ยังคงมีการขยายตัว
ตลาดหุ้นยุโรป ปิดปรับตัวขึ้นในวันศุกร์ (1 เม.ย.) โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์และกลุ่มธนาคาร ซึ่งได้ช่วยบดบังความวิตกเกี่ยวกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ขณะที่ตลาดยุโรปยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับภาวะชะงักงันในการนำเข้าก๊าซจากรัสเซีย
Stoxx Europe 600 +0.54%
CAC-40 +0.37%
DAX +0.22%
FTSE 100 +0.30%
ตลาดคลายความกังวลในขณะนี้ หลังจากรัสเซียเปิดเผยว่า จะไม่ยุติการส่งก๊าซจนกว่าจะใช้ระบบชำระเงินใหม่ในปลายเดือน เม.ย. นี้
ทำให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น 1.2% โดยหุ้นซานทานเดร์ของสเปน พุ่งขึ้น 2.6% หลังย้ำเป้าหมายความสามารถในการทำกำไรในปี 2565 ส่วนหุ้นกลุ่มเหมืองแร่และกลุ่มน้ำมันนำตลาดปรับตัวขึ้นทันที โดยได้แรงหนุนจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นจากผลกระทบของสงครามในยูเครน
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์ในยูเครนและการเจรจาสันติภาพรอบใหม่ที่เริ่มขึ้นอีกครั้งในวันศุกร์ รวมไปถึงแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางต่าง ๆ และการเปิดเผยผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทจดทะเบียน
อย่างไรก็ตามตลาดยังคงวิตกเกี่ยวกับเงินเฟ้อ หลังข้อมูลบ่งชี้ว่าเงินเฟ้อของยูโรโซนพุ่งขึ้นสู่ระดับ 7.5% ในเดือนมี.ค. แตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์อีกครั้ง ซึ่งทำให้มีการคาดการณ์กันว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือน ก.ค. นี้ และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะแตะระดับราว 1.5% ภายในสิ้นปี 2566 นอกจากนี้ตลาดได้ปรับตัวรับความเป็นไปได้ที่ ECB จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.60% ภายในสิ้นปีนี้
นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์สงครามในยูเครนอย่างใกล้ชิด ขณะที่คาดกันว่าผู้เจรจาของรัสเซียและยูเครนจะจัดการประชุมผ่านทางวิดีโอในวันศุกร์ที่ผ่านมา (1 เม.ย.) ทั้งนี้มีรายงานว่ารัสเซียได้ปิดกั้นไม่ให้ขบวนรถที่จะให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมเดินทางเข้าไปยังเมืองมาริอูโพล ขณะที่ภาคตะวันออกของยูเครนเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีมากขึ้น